วันที่ 10 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ และประชาชน ที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนาชุดที่ 1 ซึ่งเป็นมาตรการชั่วคราว ใต้หลักการตรงเป้าหมายจำเป็น
โดยมาตรการทางการเงิน ครม.เห็นชอบมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลน ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยเตรียมวงเงินไว้ 150,000 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ 2% ระยะเวลา 2 ปี วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท/ราย
มาตรการพักเงินต้น ลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ แก่ลูกหนี้ ดำเนินการโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) เช่น ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และบสย.
มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อผ่อนปรนหลักเกณฑ์ในการอำนวยสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถอำนวยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งธปท.ได้ออกประกาศมาแล้ว
มาตรการเสริมจากสำนักงานประกันสังคม โดยเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไว้ในวงเงิน 30,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้น 3% ในระยะเวลา 3 ปี ให้กู้แก่ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานประกันสังคม
“ดังนั้นจะมีสินเชื่อทั้ง 1.5 แสนล้าน ประกันสังคมให้อีก 3 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นเงินของประกันสังคมเอง ไม่ได้ใช้งบประมาณ “ นายอุตตม กล่าว
รมว.คลัง กล่าวถึง มาตรการทางภาษีว่า มาตรการแรกคือ มาตรการคืนสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการในประเทศ ได้แก่ 1.มาตรการลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กับผู้ประกอบการเป็นการชั่วคราว เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ จาก 3% เหลือ 1.5% เริ่มเม.ย. – ก.ย. 63 2. มาตรการภาษีเพื่อลดดอกเบี้ยจ่ายให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อพิเศษ 1.5 แสนล้านบาท ด้วยการให้นำไปลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า ให้ใช้สำหรับรายจ่ายค่าดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นระหว่าง 1 เม.ย. – 31 ธ.ค. 63
3. มาตรการส่งเสริมเสถียรภาพการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา โดยให้สถานประกอบการนำรายจ่าย ค่าจ้างลูกจ้างในธุรกิจที่เป็นผู้ประกันตัน มาหักรายจ่ายได้ 3 เท่า ตามเกณฑ์และวิธีการที่สรรพากรจะกำหนดขึ้นมา 4. การเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศให้เร็วขึ้น เฉพาะผู้ประกอบการที่ดี โดยหากเป็นผู้ที่ยื่นแบบชำระภาษีทางอินเตอร์เน็ต จะคืนให้ภายใน 15 วัน ส่วนการยื่นที่สำนักงานสาขาของสรรพากร จะคืนให้ภายใน 45 วัน
นายอุตตม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น 1. มาตรการบรรเทาการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ, การคืนเงินประกันค่าใช้ไฟฟ้า หรือ ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะมีการพิจารณาเงื่อนไขเหมาะสมต่อไป 2. กองทุนประกันสังคม ให้ลดการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฯ ทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งประกันสังคมและกระทรวงแรงงานจะไปหารือกันในรายละเอียดต่อไป ซึ่งอาจจะมีระยะเวลา 3 หรือ 6 เดือน
3. มาตรการบรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เช่น การลด ชะลอ การเก็บค่า ค่าธรรมเนียม อาทิ ค่าเช่าพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งกรมธนารักษ์จะพิจารณาลดค่าเช่าให้
4. มาตรการช่วยเหลือตลาดทุน โดยให้ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) สามารถนำไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นการชั่วคราวได้เพิ่มอีก 2 แสนบาท ดังนั้นจาก 2 แสนบาทเดิมก็จะเป็น 4 แสนบาท สำหรับเงินลงทุนในระยะเวลาตั้งแต่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย.63 โดยอาจจะพิจารณาขยายเวลาให้อีกหากมีความจำเป็นในอนาคต
นายอุตตม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ครม.ยังพิจารณาให้มีการกำหนดวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทสำหรับเตรียมความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโคโรนา อาทิ จากการถูกเลิกจ้างงาน หรือ สถานประกอบการที่กระทบ พนักงานทำงานไม่เต็มที่ การเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร ก็จะเป็นวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทในขั้นต้น ซึ่งกระทรวงการคลังจะหารือกับสำนักงบประมาณในการกำหนดรูปแบบวงเงินนี้และขอบเขตการใข้ให้ครอบคลุม ซึ่งในหลักการครม.ได้อนุมัติแล้ว เพื่อเป็นกองเงินไว้ใช้จ่ายได้ตามความจำเป็น
“ซึ่งกระทรวงการคลังก็จะไปเขียนขอบเขตในการดูแล ซึ่งไม่ใช่การแจก ต้องดูไม่ใช่อยู่ดีดีไปแจก อะไรเข้าเกณฑ์ว่าได้รับผลกระทบอย่างไร”นายอุตตม กล่าว
นายอุตตม ระบุว่า ครม.ยังมีมติ เห็นชอบยกเว้นอากรขาเข้า ของการนำเข้าวัสดุที่เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย ก็จะยกเว้นให้เป็นเวลา 6 เดือน
ด้านดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.ยังเห็นชอบมาตรการด้านงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาโควิด19และภัยแล้ง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ 3 ส่วน คือ รายจ่ายประจำ รายจ่ายลงทุนและงบกลางโดยรายจ่ายประจำขอให้หน่วยงานรับงบประมาณดำเนินการ สำหรับงบรายจ่ายประจำที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ ให้ลด 10% เพื่อนำไปในการจัดซื้อจัดต่างๆ และจ้างงานในพื้นที่ ซึ่งยังไม่มีการสรุปว่าจะมีวงเงินเท่าไร เนื่องจากต้องรอวันที่ 13 มี.ค. นี้
ส่วนงบกลางนั้น ถ้ายังไม่ได้รับการจัดสรรงบจากสำนักงบ ขอให้ชะลอการดำเนินการไปก่อน ถ้าไม่ทันภายใน 10 มี.ค. ให้แจ้งสำนักงบภายใน 13 มี.ค. เพื่อส่งคืน สำนักงบฯ