"บัตรคนจน" บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1,000 บาท เงินเข้าวันไหน

17 มิ.ย. 2563 | 15:00 น.
อัปเดตล่าสุด :18 มิ.ย. 2563 | 06:19 น.

ผู้ถือ บัตรคนจน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1.16 ล้านคน รับเงินเยียวยาเดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน โดยไม่ต้องลงทะเบียน

หลังจากเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบมาตรการจ่ายเงินเยียวยาโควิด-19 ให้กับผู้ถือบัตรคนจน หรือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน รวมเป็นเงิน 3,000 บาท ซึ่งจะได้รับตั้งแต่พฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 โดยสิทธิ์ในเดือนพฤษภาคมนั้น รัฐบาลจะจ่ายย้อนหลังให้ซึ่งไม่ต้องลงทะเบียนแต่อย่างใด แต่ผู้ที่ได้รับเงินเยียวยาจำนวน 3,000 บาท จะต้องไม่เคยได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือเยียวยาจากโครงการอื่นของรัฐ  หมายความว่า ผู้ที่ได้รับเงินเยียวยา  5,000 บาทจะไม่ได้รับสิทธิ์จากในโครงการนี้

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ผู้ที่ถือบัตรคนจน หรือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยามีทั้งสิ้น 1,164,222 คน โดยจะได้รับเงินเดือนละ 1,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงิน 3,000 บาทต่อคน ใช้งบประมาณรวม 3,492,666,000 บาท โดยผู้สิทธิ์ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆซึ่งรัฐบาลจะจ่ายเงินให้ในบัตรคนจนให้ทันที

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

“ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” รู้ยัง รับเงินเยียวยา 3,000 บาทอัตโนมัติ ไม่ต้องลงทะเบียน

"บัตรคนจน" ถ้า ลืมรหัส-ชำรุด-หาย ทำยังไง เช็กได้ที่นี่

เช็กสิทธิ์ 7 ข้อ "บัตรคนจน" รับเมื่อไหร่ ใช้อะไรได้บ้าง

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง  (สศค.) กระทรวงการคลัง ระบุว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯนี้ได้ผ่านการตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดแล้วซึ่งปัจจุบันผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยังมีชีวิตอยู่มีทั้งสิ้น 13.4  ล้านคน แบ่งออกเป็น

1.กลุ่มผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงการคลังแล้ว จำนวน 5.69 ล้านคน (สัดส่วน 41%) 

2.กลุ่มผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงเกษตรฯแล้ว จำนวน 3.54  ล้านคน (สัดส่วน 25%) 

3.กลุ่มผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงพัฒนาสังคมฯแล้ว จำนวน 2.1 ล้านคน (สัดส่วน 16%)

4.กลุ่มเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จำนวน 0.76 ล้านคน (สัดส่วน 6%)  

5.กลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรอง 0.5 ล้านคน (สัดส่วน 4%)

จึงเหลือผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้จำนวน 1.16  ล้านคนซึ่งเป็นกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากภาครัฐเนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ได้ประกอบอาชีพ