นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 โดยรวมยังขยายตัวได้ดีที่ 5.09 % มีมูลค่าคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 14.2 ล้านล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาล แม้ว่าตราสารหนี้ภาคเอกชนจะมีมูลค่าคงค้างลดลง เนื่องจากการลดลงของการออกหุ้นกู้ระยะสั้น (DB: Debenture:) ของกลุ่มธนาคารมจากสภาพคล่องในระบบธนาคารที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว แม้จะต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในไตรมาส 3 ทั้งนี้ กลุ่มพลังงานมีการออกเพิ่มขึ้นมากที่สุดเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจากความต้องการลงทุนมากขึ้นในธุรกิจพลังงานทางเลือกส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีการออกลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
ขณะที่ กระแสเงินลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทย แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิในตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 แต่ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ยังเป็นการขายสุทธิรวม71,299 ล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิทั้งในตราสารหนี้ระยะยาวที่ 7,260 ล้านบาท และตราสารหนี้ระยะสั้นที่ 64,039 ล้านบาท ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 นักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยรวมลดลงจาก916,816 ล้านบาท ณ สิ้นปีที่แล้วมาอยู่ที่ 848,767 ล้านบาท หรือ 6% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทย
สำหรับในช่วงการระบาดของโควิด-19 แนวโน้มการออก ESG bond (ESG: Environmental, Social and Corporate Governance) กลับเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 9 เดือนแรกนี้ มีการออก ESG bond ถึง49,800 ล้านบาท สูงกว่าการออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเกือบ 4 เท่า และเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานภาครัฐออกESG bond กว่า 42,800 ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงการคลังออก Sustainability bond มูลค่า 30,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ขยายเส้นทางรถไฟฟ้าและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรออก Green bond มูลค่า 6,000 ล้านบาท และการเคหะแห่งชาติออกSocial bond มูลค่า 6,800 ล้านบาท ส่วนบริษัทเอกชนที่ออกในปีนี้ ได้แก่ บมจ.ปตท. และ บมจ. โกลบอลเพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ออก Green bond มูลค่า 2,000 และ 5,000 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่เหลือของปี 2563 คาดว่าบริษัทเอกชนยังคงมีความต้องการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อเสริมสภาพคล่อง ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ที่ 0.5% ไปจนกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระดับโลกจะคลี่คลาย และมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนักแม้ว่าจะมีความต้องการระดมทุนของรัฐบาลจำนวนมาก เนื่องจากรัฐบาลจะใช้เครื่องมือการระดมทุนที่หลากหลาย