ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ระงับการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 หลังพบผู้เข้าร่วมการทดลองรายหนึ่งล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และบริษัท Eli Lilly & Co ประกาศระงับการรับอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองแอนติบอดีสำหรับการรักษาโรคโควิด-19 เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,679.81 จุด ลดลง 157.71 จุด หรือ -0.55% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,511.93 จุด ลดลง 22.29 จุด หรือ -0.63% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,863.90 จุด ลดลง 12.36 จุด หรือ -0.10%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดัน หลังจาก J&J ประกาศระงับการทดลองทางคลินิกของวัคซีนต้านโควิด-19 ในเฟสสุดท้าย ซึ่งมีอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ 60,000 คน หลังพบว่าผู้เข้าร่วมโครงการรายหนึ่งล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ ทางบริษัทยังระงับการรับอาสาสมัครในโครงการดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
ทางด้านบริษัท Eli Lilly & Co ระบุในแถลงการณ์ว่า คณะกรรมการติดตามความปลอดภัยด้านข้อมูลของบริษัทได้แนะนำให้ระงับการรับอาสาสมัครทดลองแอนติบอดีในโครงการซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ โดยแอนติบอดีชนิดนี้เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibody) ที่ Eli Lilly & Co ใช้ทดลองรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ควบคู่กับการใช้ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ของบริษัทกิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences)
ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้น J&J ร่วงลง 2.3% หุ้น Eli Lilly & Co ดิ่งลง 2.85% หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ ปรับตัวลง 1.15% หุ้นไมแลน เอ็นวี ดิ่งลง 2.44% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ร่วงลง 2.4%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ หลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้ปฏิเสธข้อเสนอวงเงิน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ของทำเนียบขาว โดยระบุว่า วงเงินดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการเยียวยาผลกระทบของโควิด-19
หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 4.8% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ปรับตัวลง 1.63% แม้ธนาคารทั้งสองแห่งเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดก็ตาม โดยซิตี้กรุ๊ปเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.40 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.93 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่เจพีมอร์แกน เชส เปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 2.92 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.23 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 2.65% หลังจากแอปเปิลจัดอีเวนต์ครั้งใหม่เมื่อวานนี้ โดยได้เปิดตัว iPhone 12 จำนวน 4 รุ่น ตามคาด โดยทุกรุ่นรองรับระบบ 5G ซึ่งจะสามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงจากการใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic
หุ้นแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก ทะยานขึ้น 3.85% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 27% สู่ระดับ 9.22 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.80 ดอลลาร์/หุ้น
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ โดยในวันพุธจะเป็นการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของ แบงก์ ออฟ อเมริกา, โกลด์แมน แซคส์, เวลส์ ฟาร์โก, ยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป และยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ส่วนมอร์แกน สแตนลีย์ และฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแนล มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดี
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดีดตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนก.ย., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนต.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีการผลิตเดือนต.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ยอดค้าปลีกเดือนก.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน