ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่เริ่มมีการระบาดของ COVID-19 ทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะภาคธุรกิจและครัวเรือน หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง และต้องเลิกจ้างพนักงาน หรือลดเวลาเปิดบริการลง และต้องลดเวลาการจ้างพนักงานลง ซึ่งก็หมายความว่ารายได้ของทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนต้องลดลงไปด้วย ที่สำคัญ ยังไม่มีใครทราบว่าสถานการณ์นี้จะจบลงเมื่อไร หรือจะกลับมารุนแรงมากขึ้นหรือไม่
เมื่อรายได้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนลดลง ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ก็เพิ่มมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์จึงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตามไปด้วย เนื่องจากภาคธุรกิจและครัวเรือนเป็นลูกค้าหรือลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ โดยภาคธุรกิจก็มักกู้สินเชื่อไปใช้ดำเนินการหรือขยายธุรกิจ ส่วนภาคครัวเรือนก็มักกู้สินเชื่อไปเพื่อใช้จ่ายต่างๆ หรือทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ในภาวะปกติ เมื่อธนาคารพาณิชย์ทำกำไรได้ มักจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นธนาคารพาณิชย์นั้นๆ ในฐานะผู้ลงทุน ซึ่งเรียกว่าการจ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ของหลายประเทศมีนโยบายห้ามธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผล หรือให้จ่ายเงินปันผลได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินเก็บไว้อยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง ซึ่งเงินส่วนนี้เปรียบเสมือนเป็นกันชน ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อาจเกิดการระบาดใหญ่เป็นระลอกสอง จนต้องปิดเมือง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักลง ตลอดจนเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินเพียงพอที่จะให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ขาดสภาพคล่องและ เดือดร้อนจากวิกฤต COVID-19
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-หุ้นแบงก์คึกคัก ขานรับธปท.ไฟเขียวจ่ายปันผล
-ธปท.ไฟเขียวแบงก์พาณิชย์จ่ายปันผลปี 63 แบบมีเงื่อนไข
-เปิด 4เงื่อนไขแบงก์จ่ายปันผลปี63 แต่ยังห้ามซื้อหุ้นคืน
-พิษ ห้ามจ่ายปันผล จันทร์นี้ราคาหุ้นธนาคารส่อปรับลงแรง
นโยบายการจ่ายเงินปันผลในต่างประเทศ
ในปัจจุบัน ประเทศที่มีนโยบายห้ามธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น ได้แก่ อังกฤษ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป และนิวซีแลนด์ ส่วนประเทศที่มีนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลบางส่วนให้ผู้ถือหุ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ โดยประเทศเหล่านี้มักกำหนดอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์สามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ แต่ยังให้ธนาคารพาณิชย์ตัดสินใจได้เองว่าจะจ่ายเงินปันผลจำนวนเท่าใด นอกจากนี้ มีบางประเทศที่ไม่กำหนดนโยบายจำกัดการจ่ายเงินปันผล ได้แก่ มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ดังนั้น ในการกำหนดทางเลือกของนโยบาย ประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกสามด้าน และการตัดสินใจบนทางเลือกทั้งสามด้านนี้ จะต้องพิจารณาสามเรื่องสำคัญ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน ดังนี้
เรื่องที่หนึ่ง เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและความมั่นคงของสถาบันการเงิน เนื่องจากระบบสถาบันการเงินมีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมาก โดยเป็นภาคส่วนที่รวบรวมเงินออมจากครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ ไปจัดสรรให้ผู้กู้ที่ต้องการในภาคส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจ และในปัจจุบันระบบสถาบันการเงินยังเป็นกลไกสำคัญที่ภาครัฐใช้ช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจ โดยเป็นเสมือนระบบเส้นเลือดที่ลำเลียงสภาพคล่องจากภาครัฐไปหล่อเลี้ยงผู้ที่เดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ดังนั้น การดูแลให้ระบบสถาบันการเงินมีเสถียรภาพและมีความมั่นคงจึงสำคัญมากท่ามกลางภาวะวิกฤตนี้
เราสามารถประเมินเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและความมั่นคงของสถาบันการเงินได้จากการพิจารณาผลการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นการทดสอบว่าหากเศรษฐกิจชะลอตัวลง จะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใดต่อสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะมีเงินกองทุนและสภาพคล่องเพียงพอหรือไม่ ซึ่งหากผลการประเมิน stress test ชี้ว่า ระบบสถาบันการเงินมีเงินกองทุนและสภาพคล่องมากพอที่จะรองรับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ ก็ถือว่า ระบบสถาบันการเงินมีเสถียรภาพและสถาบันการเงินมีความมั่นคง
เรื่องที่สอง การพิจารณาถึงผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ให้รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝากเงิน ลูกหนี้ ผู้ถือหุ้น รวมถึงผู้ลงทุนด้วย ตลอดจนผู้ใช้งบทางการเงินต่างๆ เช่น นักวิเคราะห์ สถาบันจัดอันดับเครดิต (credit rating agency) เนื่องจากการกำหนดแนวนโยบายเกี่ยวกับการให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นนั้น สามารถส่งผลเสียต่อผู้เกี่ยวข้องเหล่านี้ได้ เช่น หากห้ามธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเลย ผู้ลงทุนที่พึ่งพิงรายได้จากเงินปันผลเป็นหลักก็จะเดือดร้อนทันที
เรื่องที่สาม ความสอดคล้องระหว่างนโยบายการจ่ายเงินปันผลของไทยและต่างประเทศ เนื่องจากหากประเทศไทยถูกมองว่า ดำเนินนโยบายที่เข้มงวดกว่าประเทศอื่นๆ ก็อาจทำให้เกิดข้อสงสัยถึงเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและความมั่นคงของสถาบันการเงินไทยได้ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบสถาบันการเงินโดยรวม จนอาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่ผู้ฝากเงินแห่ถอนเงินจากธนาคาร (bank run) ได้
การจ่ายเงินปันผลกับความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน
การกำหนดแนวทางเรื่องการจ่ายเงินปันผลอาจไม่ใช่ข้อบ่งชี้เพียงอย่างเดียวที่จะบอกว่าสถาบันการเงินไทยมีความแข็งแกร่งหรือไม่ ยังคงมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ต้องพิจารณาประกอบกันด้วย เช่น อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ซึ่งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ ไตรมาส 3 ปี 2563) ยังคงอยู่ในระดับสูง ( 19.8%) การมีสภาพคล่องส่วนเกินในระบบสถาบันการเงินไทย ที่ปัจจุบันยังเหลืออยู่สูงเช่นกัน (LCR ของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 184.9%) รวมถึงนโยบายหรือประวัติการจ่ายเงินปันผลของแต่ละธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีความแตกต่างกัน เป็นต้น
สุดท้ายนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของ COVID-19 เป็นระลอกสองอีกหรือไม่ หรือจะเกิดเมื่อใด ประเทศไทยจึงต้องไม่ประมาท การ์ดอย่าตก โดยต้องไม่ดำเนินนโยบายที่ผ่อนปรนมากเกินไป นั่นคือการให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้เหมือนในภาวะปกติ จนไม่มีกันชน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ดำเนินนโยบายที่เข้มงวดจนเกินไป นั่นคือการห้ามธนาคารพาณิชย์ไม่ให้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเลย เนื่องจากจะเกิดผลกระทบเชิงลบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและความมั่นคงของสถาบันการเงินได้ จนอาจทำให้เกิดปัญหาในภาคการเงิน ซ้ำเติมภาคเศรษฐกิจที่กำลังแย่อยู่แล้ว ดังนั้น การตัดสินใจในเรื่องนโยบายการจ่ายเงินปันผลจึงต้องตั้งอยู่ในจุดที่มีความสมดุลพอดีไม่เอียงไปในด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป