ดาวโจนส์ปิดลบ 179 จุด รอบสัปดาห์นี้บวก 0.6%

22 ม.ค. 2564 | 23:49 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ม.ค. 2564 | 00:15 น.

 ดาวโจนส์ปิดลบ 179.03 จุด นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ในสหรัฐ แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.6%

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ในสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนด้วย หลังจากที่มีรายงานว่า วุฒิสภาสหรัฐคัดค้านมาตรการดังกล่าว
          

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,996.98 จุด ลดลง 179.03 จุด หรือ -0.57% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,841.47 จุด ลดลง 11.60 จุด หรือ -0.30% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,543.06 จุด เพิ่มขึ้น 12.15 จุด หรือ +0.090%
          

แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.6%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.9% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 4.2%
          

ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงถูกกดดัน เนื่องจากมูลค่าหุ้นที่อยู่ใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ยุคดอทคอม, การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และความล่าช้าของการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิดนั้น ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความวิตกให้กับนักลงทุน
          

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ยอดผู้เสียชีวิตในสหรัฐจากโรคโควิด-19 อาจจะแตะระดับ 500,000 รายในเดือนหน้า
          

หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงมากที่สุด 0.72%
          

นอกจากนี้ การร่วงลงของหุ้นอินเทลและหุ้นไอบีเอ็มหลังการเปิดเผยผลประกอบการถ่วงตลาดลงด้วย โดยหุ้นไอบีเอ็ม ร่วงลง 9.95% และถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงมากที่สุด หลังไอบีเอ็มเปิดเผยรายได้รายไตรมาสต่ำกว่าคาด โดยได้รับผลกระทบจากยอดขายซอฟท์แวร์ที่ลดลง ขณะที่หุ้นอินเทล ร่วงลง 9.29%
          

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของหุ้นไมโครซอฟท์ คอร์ป, แอปเปิล และเฟซบุ๊ก ได้ช่วยพยุงตลาดไม่ให้ปรับตัวลงมากนัก
          

ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน, การเงิน, อุตสาหกรรม และสินค้าฟุ่มเฟือย ปิดตลาดลดลง
          

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้แก่ ไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 58.0 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 55.3 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ
          

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 0.7% สู่ระดับ 6.76 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าอาจลดลง 2.0% สู่ระดับ 6.55 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ และเมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 22.2% ในเดือนธ.ค.