รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้มีการประชุมและพิจารณา การกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดเป้าหมายการใช้ Zero Emission Vehicle (ZEV) รถยนต์ที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ ซึ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้าจากพลังงานแบตเตอรี่ BEV (Battery Electric Vehicle) และFCEV (Fuel Cell EV) จำนวน 30,000 คัน ในปี 2565 และจะเพิ่มเป็น 225,000 คัน ในปี 2568 เพิ่มเป็น440,000 คัน ในปี 2573 และเพิ่มเป็น 1.15 ล้านคัน ในปี 2578 นั้น
ส่งผลให้ราคาหุ้นที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ปรับเพิ่มขึ้นตอบรับ โดยบริษัท พลังงานบริสุทธิ์จำกัด (มหาชน) (EA) ปิดที่ 61.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 4.26 %, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) ปิดที่ 76.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือ 3.03%, บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด(มหาชน) (BPP) ปิดที่ 19.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 4.21% และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) ปิดที่ 12.10 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า ถือเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อกลุ่มผู้ผลิตแบตเตอรี่ประเภทต่างๆ ที่ใช้ในรถยนต์ EV รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ EV ถึงแม้เป้าหมายจะเป็นเป้าหมายในระยะยาวค่อยๆ เกิดขึ้นในช่วง 14 ปี ข้างหน้า อาจยังไม่เห็นผลกำไรในในระยะสั้น แต่หมายถึงการที่ผู้ประกอบการต่างๆ จะต่อยอดฐานกำไรจากธุรกิจแบตเตอรี่และรถยนต์ EV เป็นไปได้ไม่ยากจากการสนับสนุนของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ผลิตแบตเตอรี่ในปัจจุบันมีจำนวนมาก แต่บริษัทที่จดทะเบียน (บจ.) ในตลท.ที่มีภาพการลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ที่ชัดเจน คือ EA ถือเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนรายใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้นำร่องธุรกิจแบตเตอรี่ในประเทศไทย ปัจจุบันลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ผ่านบริษัทย่อย Amita Taiwan ( EA ถือหุ้นราว 70.0%) ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ประเภทLithium-ion กำลังการผลิต 400 MWh โดยมีกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และรถสาธารณะในประเทศไต้หวัน
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย phase 1 (Amita Taiwan ถือหุ้น100.0%) ขนาด 1.0 พัน MWh ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จ และเริ่มผลิตแบตเตอรี่ cell แรกได้ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2564 โดย EA มีแผนจะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ที่คาดจะเริ่มผลิตและส่งมอบให้กับลูกค้าได้ในช่วงกลางปี 2564 รวมถึงในอนาคตยังมีแผนจะนำมาใช้เป็นแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในกลุ่มของ EA ด้วย ส่วนในระยะถัดไป มีแผนจะขยายการผลิตไปให้ถึง 49,000 MWh หากโรงงาน phase 1 พัฒนาไปได้ด้วยดี และมีกลุ่มลูกค้ารองรับในอนาคต
ขณะที่ GPSC เป็นบริษัทลูกของ PTT ซึ่งเป็น flagship ในธุรกิจแบตเตอรี่ ล่าสุดได้กำหนดให้ธุรกิจแบตเตอรี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ New S-Curve ของบริษัท โดยเริ่มต้นจะเป็นโครงการนำร่อง (Pilot project) สร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ 30.0 MWh ด้วยเทคโนโลยี semi-solid ซึ่งเป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ในการผลิตแบตเตอรี่ Lithium- ion ของบริษัท 24M Technologies (GPSC ถือหุ้น 18.0%) ที่ลดความซับซ้อนของกระบวนการผลิต และจะช่วยให้ประหยัดต้นทุนการผลิตลงได้
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจะนำมาทดลองใช้ภายในกลุ่ม PTT โดยเน้นในการติดตั้งเพื่อใช้กักเก็บพลังงาน (energy storage) เป็นหลัก และหากมีผลลัพท์ที่ดี จะพัฒนาเป็นผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป โดยโรงงานดังกล่าวคาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 นอกจากนี้ GPSC ยังได้เข้าถือหุ้น 11.1% ในบริษัท AXXIVA ในประเทศจีน กำลังการผลิตแบตเตอรี่ 1.0 พัน MWh ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 และสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้กับอุตสาหกรรมกลุ่มยานต์ยนต์ไฟฟ้า โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในประเทศจีน ในเบื้องต้น ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมถึงประมาณการรายได้จากโครงการดังกล่าว
ขณะเดียวกัน BANPU และ BPP เข้าถือหุ้น 50.0% ในบริษัทย่อย BANPU NEXT ที่ลงทุน 47.0% ในบริษัท Durapower Holdings Pte Ltd., ในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ผลิต และติดตั้งระบบแบตเตอรี่จัดเก็บพลังงานแบบ Lithium-ion เพื่อใช้ทั้งในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และระบบกักเก็บพลังงาน ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศจีนและยุโรป โดยโรงงานดังกล่าวสามารถรองรับการผลิตได้ 1.0 พัน MWh ซึ่งปัจจุบันได้ขยายกำลังการผลิตสู่ 380.0 MWh จากจุดเริ่มต้นที่ 80.0 MWh ทั้งBANPU และ BPP เริ่มมีการรับรู้กำไรจากธุรกิจนี้ประมาณ 1-2 ล้านบาทต่อปี