เปิดพอร์ต"สถาพร งามเรืองพงศ์"หมื่นล้านโตสวนวิกฤติโควิด

16 เม.ย. 2564 | 00:59 น.
อัปเดตล่าสุด :16 เม.ย. 2564 | 08:12 น.

เศรษฐีหุ้น ไม่กี่คนที่มีมูลค่าพอร์ตเติบโตสวนวิกฤติโควิด หนึ่งในนั้นก็คือ "สถาพร งามเรืองพงศ์" หรือเซียนฮง ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR )

 

ท่ามกลางวิกฤติโควิด ชื่อของ"สถาพร งามเรืองพงศ์ " หรือ "เซียนฮง" กลับผงาดในแวดวงตลาดหุ้น  เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก ( OR ) จำนวน 244,298,900 หุ้น หรือสัดส่วน 2.04% คิดเป็นมูลค่า 7,573 ล้านบาท (ณ วันที่ 9 เมษายน 64) รองจาก บมจ.ปตท.ที่ถือ 75% และหากรวมกับผู้ถือหุ้นอันดับ 10 ที่นามสกุลเดียวกัน (นางมณีรัตน์ งามเรืองพงศ์) ถือ 29,000,000 หุ้น สัดส่วน 0.24% กลุ่มสถาพร จะถือหุ้น OR รวม 2.28% 

นอกเหนือจากหุ้น OR  พบว่าตั้งแต่ชวงครึ่งหลังปี 2563 เป็นต้นมา "สถาพร งามเรืองพงศ์ "ปรากฏชื่อถือหุ้นอย่างน้อยใน 5 บริษัท คือ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) โดยปรากฏการถือเมื่อเดือนพ.ย.ปี 63 จำนวน 29,463,100 หุ้น สัดส่วน 0.52% คิดเป็นมูลค่า 1,318 ล้านบาท, บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 4 จำนวน 17,838,400 หุ้น สัดส่วน 3.92% มูลค่าราว  749 ล้านบาท

บมจ. ไมโครลิสซิ่ง  (MICRO) ปรากฏชื่อถือหุ้นเมื่อเดือนมี.ค.64 จำนวน 45,252,800 หุ้น สัดส่วน  4.84% มูลค่า  410 ล้านบาท , บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์  (NOBLE) ปรากฏชื่อถือหุ้นเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 63 จำนวน  44,958,600 หุ้น สัดส่วน 3.28% มูลค่าราว 380 ล้านบาท และบมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS )ปรากฏชื่อถือหุ้นเมื่อเดือนมี.ค. 64 จำนวน  6,305,300 หุ้น สัดส่วน 1.05% มีมูลค่าราว 93 ล้านบาท

ผงาดขึ้นเศรษฐีหุ้นไทย

ส่งผลให้มูลค่าพอร์ตการถือหุ้นของ "เซียนฮง" ใน 6 บริษัท ณ วันที่ 9 เม.ย. 64 มีมูลค่ารวมกว่า 10,523 ล้านบาท  ก้าวชั้นขึ้นเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 27 ของไทย 

เทียบกับพอร์ตหุ้นที่ถือในช่วงก่อนวิกฤติโควิด มีมูลค่ารวม ณ วันที่ 10 เม.ย. 62  ราว 5,994 ล้านบาท จากการถือใน 2  บริษัท คือ บมจ. บัตรกรุงไทย ( KTC) จำนวน 128,509,100 หุ้น ถือ 4.98% มูลค่าราว  5,108 ล้านบาท ก่อนจะไม่ปรากฏการถือในการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่  25 พ.ค. 63  เช่นเดียวกับ บมจ.อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) หรือ  AEONTS ถือจำนวน 4,906,000 หุ้น สัดส่วน 1.96% มูลค่า ณ 10 เม.ย.62   ราว 886 ล้านบาท ก่อนจะไม่ปรากฏการถือหุ้นเมื่อเดือนพ.ค.63

"สถาพร งามเรืองพงศ์" วัย 35 ปี  เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อช่วงปลายปี 2547 ในขณะที่ยังเป็นนักศึกษาปี 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ  ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 100,000 บาท และเริ่มสร้างชื่อในวงการหุ้น จากการเขียนเว็บบอร์ด เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องหุ้นให้กับนักลงทุน โดยมีมูลค่าพอร์ตในช่วง 2-3 ปีแรก ยังไม่ถึงหลักร้อยล้านดี ก่อนที่เขาจะหายหน้าไปจากสื่อในช่วงปี 2556 ซึ่งเจ้าตัวเปิดเผยภายหลังว่าไปหาประสบการณ์ ท่องเที่ยวรอบโลก

ก่อนจะมาเปิดตัวอีกครั้ง โดยการทยอยเข้าซื้อหุ้น บมจ.บัตรกรุงไทย ( KTC ) และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4  เมื่อปี 2562  ด้วยมูลค่าพอร์ตในปีนั้นเกือบ 6,000 ล้านบาท จากนั้นได้ทยอยขายหุ้น KTC ออกเมื่อปีที่แล้ว พร้อมๆกับการขายหุ้นที่ถือใน AEONTS 1.96% ทั้งหมด และนำเงินที่ได้ไปลงทุนในหุ้น OR มากกว่า 7,000 ล้านบาท จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 รวมถึงในบริษัทใหญ่อีกหลายแห้ง ดังที่กล่าวข้างต้น                                           

 

เปิดกลยุทธ์การลงทุน

"สถาพร" กล่าวว่าหลักในการลงทุนของเขา ปัจจุบันก็ยังเหมือนเดิม กล่าวคือช่วงที่พอร์ตยังไม่ใหญ่มาก เขาเลือกใช้ทฤษฎีการลงทุนด้วยการดูปัจจัยพื้นฐาน70% ส่วนอีก 30% อาศัยปัจจัยทางเทคนิค ดูจากกราฟ  เพราะการดูกราฟย้อนหลังจะทำให้เห็น ‘ดีมานด์’ และ ‘ซัพพลาย’ ของหุ้นในอดีต ที่สำคัญยังมองเห็นจุดนิวไฮของหุ้นด้วย 

ขณะที่การเลือก"หุ้น"เขาจะเลือกหุ้นที่เพิ่งทำกำไรนิวไฮ พร้อมกับวิเคราะห์อนาคตในไตรมาสที่เหลือของปีนั้นๆ ว่าจะสามารถรักษากำไรในระดับที่ดีได้ต่อเนื่องหรือไม่ และดูว่าหุ้นนั้นมีความสามารถการแข่งขัน ที่สำคัญต้อง‘เก่งกว่า’ คู่แข่ง โดยมุ่งไปที่อุตสาหกรรมที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว

ส่วนการเข้าซื้อสะสมหุ้นในยุคเริ่มต้น เลือกใช้สูตร 30:30:30:10 กล่าวคือ หากซื้อแล้วหุ้นขึ้นต่อ จะเข้าซื้อเพิ่มเป็น step ตามสูตรดังกล่าว แต่ถ้าซื้อแล้วหุ้นปรับลดลงเกิน 8% เขาจะตัดขาดทุนทันที 

อย่างไรก็ดี เมื่อพอร์ตการลงทุนเริ่มใหญ่ขึ้นสู่หลักหมื่นล้านบาท "สถาพร "กล่าวว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือกลยุทธ์การลงทุน โดยเปลี่ยนมาดูพื้นฐานเป็นหลัก 100 % เพราะพอร์ตหุ้นที่ใหญ่ขึ้น ข้อจำกัดในการใช้เทคนิคก็มีมากขึ้นด้วย