ธปท.เผยอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูแล้วกว่า 8,000ล้าน โรงแรม 2แห่งนำร่องพักทรัพย์พักหนี้

ธปท.เผยอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูแล้วกว่า 8,225ล้านบาท จำนวน 4,454ราย แจงกลุ่มไมโครเอสเอ็มอีมีวงเงินสินเชื่อเดิมไม่เกิน 5ล้านบาทเข้ามาตรการสูงสุดราว 64.3%  ขณะที่ธุรกิจโรงแรม 2แห่งนำร่องพักทรัพย์พักหนี้วงเงินตีโอนรวม 750ล้านบาท

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยถึงความคืบหน้าพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)สินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์พักหนี้ หรือ Warehousing โดยระบุว่า  ตั้งแต่เปิดรับคำขอเข้าโครงการดังกล่าวเมื่อ 26เมษายนจนถึงวันที่ 14พฤษภาคม 2564  พบว่า มียอดสินเชื่อฟื้นฟูอนุมัติแล้ว จำนวน  8,225ล้านบาท จำนวนลูกหนี้ 4,454ราย วงเงินสินเชื่อเฉลี่ย 1.8ล้านบาทต่อราย  หากแบ่งตามจำนวนเงิน จะเป็นการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีที่มีวงเงินสินเชื่อเดิม5-10ล้านบาทสัดส่วน  51% รองลงมาเป็น ธุรกิจ และกลุ่มไมโครเอสเอ็มอีมีวงเงินสินเชื่อเดิมไม่เกิน5ล้านบาท  ขณะที่จำนวนรายพบว่า กลุ่มไมโครเอสเอ็มอีมีจำนวนรายเข้ามาตรการสูงสุด ประมาณ 64.3% รองลงมาเป็นกลุ่มเอสเอ็มอี 32.6%และธุรกิจขนาดใหญ่ประมาณ 3% ซึ่งหากแบ่งตามประเภทธุรกิจทั้งจำนวนเงินและจำนวนรายส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการพาณิชย์  ในแง่จำนวนเงินเป็นอุตสาหกรรมการผลิต และกลุ่มบริการ(รวมโรงแรมและร้านอาหาร) 

  สำหรับลูกหนี้ที่ขอเข้าโครงการพักทรัพย์พักหนี้มีการอนุมัติ 2รายยอดเงินตีโอนทรัพย์ 750ล้านบาทเป็นธุรกิจโรงแรม ซึ่งกลุ่มพักทรัพย์พักหนี้ทั้งสถาบันการเงินและลูกหนี้อาจจะต้องใช้เวลา  เนื่องจากต้องเจรจาข้อตกลงเกี่ยวกับราคาและการดูแลทรัพย์สิน

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการให้ความช่วยเหลือของพ.ร.ก.ซอฟต์โลนฉบับแรกซึ่งปิดรับคำขอไปแล้ว ณวันที่ 12เมษายน 2564  มียอดอนุมัติสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 138,200ล้านบาท คิดเป็นจำนวนลูกหนี้ที่ได้รับซอฟต์โลน 77,787ล้านรายเฉลี่ย 1.8ล้านบาทต่อราย โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจะได้รับซอฟต์โลน 66.5%  อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว  โรงแรม  ขนส่งผู้โดยสาร  ค้าปลีกและร้านอาหารรวมเป็นเงิน 9.2หมื่นล้านบาทจำนวนลูกหนี้ 5.2หมื่นราย  ที่เหลือลูกหนี้อื่นๆได้รับซอฟต์โลน4.6หมื่นล้านบาทคิดเป็นลูกหนี้ 2.5หมื่นราย  

ในส่วนของลูกหนี้ที่ยังคงขอรับความช่วยเหลือ (จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่เดือนก.พ.ปี 2563จนถึงปัจจุบัน) โดยปัจจุบันมีจำนวน 3.7ล้านล้านบาทคิดเป็น 25%ของยอดสินเชื่อรวม ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย, เอสเอ็มอีและสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่  แต่ในแง่จำนวนบัญชีเหลือ 5.79ล้านบัญชี (จากเมื่อก.ค.อยู่ที่ 12.5ล้านบัญชี) เป็นรายย่อย 5ล้านบัญชี รองมาเป็นเอสเอสเอ็มอี 7.7แสนบัญชี และธุรกิจขนาดใหญ่