48 ปี "มหาวิทยาลัยรามคำแหง" กับสังคมไทยนั้นมีหลากเรื่องราวที่น่าสนใจและถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือบรรยากาศการหาเสียงผู้รับสมัครชิง "เก้าอี้อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง"
เพราะบุคลากรในรั้วตลาดวิชาแห่งนี้ราวสองแสนคนเศษ(จากมร.หัวหมากและสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติยี่สิบสามแห่งทั่วประเทศ)มีสิทธิไปลงคะแนนเลือกตั้งลงคะแนนรั้วมร.นั้นเสมือนเป็นสนามเลือกตั้งกลายๆ มีความร้อนแรงไม่แพ้สนามเลือกตั้งใหญ่เลยทีเดียวเพราะที่ผ่านมาสื่อหลากแขนงสนใจกับการชิงเก้าอี้ประมุขสถานศึกษาย่านหัวหมากแทบทุกครั้ง เนื่องจากบางคราวจะมีผลกระทบทั้งบวกและลบบางอย่างที่กระเทือนกับสังคมไทยในบางมุม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับตา ศึกชิง "อธิการบดี ม.รามคำแหง"
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นกันวันที่ 10, 18ต.ค.2563 (เลือกตั้งล่วงหน้าส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง) และวันที่20 ต.ค. 2563 (เลือกตั้งจริง)เวลา 09.00-16.30น.จะทราบผลว่า ผู้สมัครสามคนคือ เบอร์1 ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ ,เบอร์2 ผศ.ดร.สถาพร สระมาลีย์ และเบอร์3 รศ.ดร.ปรัชญา พุ่มนาเสียว ที่อาสาชาวน้ำเงิน-ทองด้วยการแสดงวิสัยทัศน์ว่าหากได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นแท่นผู้บริหารจะนำพารามคำแหงไปในทิศทางใดนั้น
ใครคือตัวเต็งที่จะคว้าชัย...
ไล่เรียงตั้งแต่เบอร์ 1 ดร.เอ้คนนี้ เคยทำหน้าที่คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยและอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ ก่อนหน้าที่จะมาทำงานในตลาดวิชาแห่งนี้เคยเป็นข้าราชการกระทรวงแรงงานมาก่อนและตอนนี้ทำงานอยู่ในรั้วพ่อขุนมาหลายปีแล้ว นโยบายที่ใช้หาเสียงอาทิ เป็นอธิการบดีของทุกคน , พัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อให้รามคำแหงเป็นมหาวิทยาลัยที่ทันสมัยอย่างแท้จริง
จัดระบบ Shuttle Bus ในมหาวิทยาลัย , ยกระดับงานอนามัยเป็ศูนย์สุขภาพชุมชน, ให้ทุนอาจารย์ศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศทุกปีการศึกษา ,ให้เงินรางวัลผลงานวิจัยที่เป็นนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ,สร้าง RU IT Academic Platform สำหรับการเรียนการสอนให้เท่าทันโลกยุคใหม่ , สนับสนุนบุคลากรให้ศึกษาในระดับที่สูงขึ้นและสามารถปรับวุฒิการศึกษาได้ตามความเป็นจริงเเละเป็นธรรม ,เพิ่มทุนการจัดกิจกรรมนักศึกษา ,เพิ่มจำนวนและขยายเวลาปิด/เปิดห้องอ่านหนังสือ(โดยเฉพาะโซนด้านหลังราม)
เพิ่มแสงสว่างซุ้มนักศึกษาให้เพียงพอสำหรับการอ่านหนังสือ , “ห้องน้ำสวย ห้องน้ำสะอาด” เปิดบริการตลอด 7 วัน/สัปดาห์, สร้างรายได้ให้นักศึกษาโดยการฝึกอาชีพเสริม ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, จัดสัปดาห์นัดพบแรงงาน
ส่วนเบอร์2นั้น มาจากคณะนิติศาตร์ ผศ.ดร.สถาพร เน้นหาเสียงด้านรายได้และสิทธิที่เสียไปของอาจารย์และสายสนับสนุน เช่น จัดทำวารสารและบทความทางวิชาการของทุกคณะ ,จัดระบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ , คืนสิทธิจ่ายเต็มเงินเดือนพนักงานสายอาจารย์1.7 ให้เป็นไปตามมติครม. ,จัดตั้งคลินิกวิชาการ ,คืนสิทธิค่าคุมสอบ ,ลูกจ้างมหาวิทยาลัยเมื่อเกษียณรับบำเหน็จห้าเท่าของเงินเดือน ,จัดทำระบบประกันเต็มรูปแบบ สร้างบันไดเลื่อนและสกายวอล์กเชื่อมอาคารเรียน รวมทั้งดูแลงบการจัดกิจกรรมของนักศึกษา
และเบอร์3 ดร.ก้อง จากคณะรัฐศาสตร์ มีกระแสข่าวในรั้วรามลอยมาว่า เป็นสายตรงของรังสรรค์ เเสงสุข อดีตอธิการบดีและดร.ก้องออกตัวในช่วงแนะนำตัวเเละขายแคมเปญเด่นๆที่ใช้หาเสียงว่า จะนำรามคำแหงสู่มหาวิทยาลัยแห่งนวัตกรรม ,จัดระบบบริหารหลักสูตรนอกระบบ, สร้างเครือข่ายพันธมิตรนอกมหาวิทยาลัย, จัดระบบสวัสดิการสินเชื่อด้านต่างๆให้บุคลากร ,คืนงบกิจกรรมให้อศมร. เจ็ดล้านบาทต่อปี,สร้างลานกิจกรรมนักศึกษา, อบรมบัณฑิตก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน, จัดทำตำราอี-บุ๊ค จัดระบบออนไลน์ใหม่
แต่จากการเช็กกระแสนิยมเบื้องต้นนั้น ตอนนี้พบว่า ชาวรามสนใจดร.เอ้มากที่สุดเพราะนโยบายจับต้องได้และยกระดับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้สมฐานะตลาดวิชาแห่งโลก4.0 แม้ว่าดร.เอ้ยังมีการบ้านอีกหลายข้อที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อชนะใจลูกพ่อขุนให้พ้นข้อครหา...
ขณะที่เบอร์2หาเสียงเเละอาศัยความเจนสนามจึงเข้าใจรามคำแหงทุกตารางนิ้วเเละยังอ้างว่าพร้อมเปลี่ยนรามเเบบพลิกฝ่ามือ เเต่มองเเล้วยากยิ่งเพราะนโยบายที่หาเสียงนั้น มันสัมผัสจริงเลือนลาง
ส่วนเบอร์3นั้นชูหลายเเนวทางที่ใช้ยกระดับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เเต่เมื่อเจาะลงไปยังสายสัมพันธ์ระหว่างอดีตอธิการบดีคนหนึ่งก็เหนื่อยที่จะเเตะเส้นชัย
ยังเหลือเวลาอีกหลายวันก่อนเข้าสู่เวลาหย่อนบัตร ดังนั้นรอดูว่า...ลูกพ่อขุนจะเลือกใครขึ้นมานำพาสถานศึกษาแห่งนี้ เพราะว่าเข้มข้นไม่น้อยหน้าสนามเลือกตั้งอื่นๆ