“สมชาย”แนะเร่งนำคดี“บอสกระทิงแดง”ขึ้นสู่ศาลคืนความยุติธรรมสังคม

29 ก.ค. 2563 | 06:47 น.

“สมชาย”แนะเร่งนำคดี “บอสกระทิงแดง” กลับคืนขึ้นศาลเป็นหนทางคืนความยุติธรรมให้สังคมไทย ไม่ใช่การฆ่าตัดตอนกระบวนการยุติธรรมด้วยเทคนิคกฎหมาย

วันนี้(29 ก.ค.63 ) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อเรื่อง “เร่งนำคดีกลับคืนขึ้นศาลคือหนทางคืนความยุติธรรมให้สังคมไทย” ระบุว่า

 

คณะกรรมการชุดพิเศษที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาศรัทธาจากความอยุติธรรมตัดตอนคดี “บอสกระทิงแดง” โดยมีศาตราจารย์ วิชา มหาคุณ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและอดีตกรรมการป.ป.ช.ที่ได้รับความยอมรับยิ่งในความตงฉิน ซื่อสัตย์ และกล้าหาญ พร้อมคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือทางกฎหมายอีก 9 ท่าน

 

เรียกศรัทธาประชาชนกลับมามีความเชื่อมั่นได้อย่างรวดเร็วอย่างน้อยก็ครึ่งทาง

 

อีกครึ่งทางคือการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจริงจังตรงไปตรงมา โดยยึดข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง

 

 

ในเมื่อคำสั่งแต่งตั้งได้ระบุไว้ว่า คณะกรรมการอาจรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะและพิจารณาเรื่องร้องเรียนในเรื่องนี้จากประชาชนได้  

 

จึงขอฝากความเห็นไปยังคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อพิจารณาดังนี้ครับ

 

1) การใช้ดุลยพินิจจากใครหน่วยงานใดที่ทำให้เกิดคดีล่าช้าและส่งผลให้คดีต่างๆ ขาดอายุความ และการใช้ดุลยพินิจในขั้นตอนใดไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่สุจริต หรือไม่โปร่งใส บ้าง

 

2) พยานเอกสารหนังสือที่ น.395/2555 วันที่ 1 ต.ค.2555 เรื่อง ที่สาขาวิชานิติเวชวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยาแจ้งเกี่ยวกับสารแปลกปลอมที่พบในร่างกายของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ตามที่สน.ทองหล่อ ขอทราบข้อมูล ลงนามโดยพลอต นพ วิชาญ เปี้ยวนิ่ม ระบุว่าพบ Benzoyleegonine เป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือดในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย(Metabolism) หลังจากการเสพ Cocaine (โคเคน) ซึ่ง Cocaine เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ จึงไม่ได้อยู่ในสำนวนคดีในชั้นสอบสวนใดๆ

 

3) การได้เปลี่ยนคำให้การใหม่ของตำรวจที่เป็นพยาน ปรับความเร็วลงมาที่ 79.23 กม./ชม. แตกต่างกลับตาลปัตรจากความเห็นเดิมที่พยานมีเห็นร่วมกับ ดร.สุธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

4)พยานบุคคล2คนใหม่ที่เพิ่งหลังผ่านเหตุการณ์มานานมากกว่า7ปีนั้น เป็นการปั้นพยานเท็จหรือไม่ เพราะข่าวจากสื่อมวลชนระบุความสัมพันธ์เป็นเพื่อนกับมารดาจำเลย?

 

และหากพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ที่ระบุว่าเมื่อมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว ห้ามให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีก

 

 เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทําให้ศาล ลงโทษผู้ต้องหานั้นได้

โดยส่วนตัวเชื่อมั่นในคณะกรรมการชุดนี้มากครับว่า ผลจะออกมาตรงไปตรงมาและยุติธรรมแท้แน่นอน และหากพบว่า มีทุจริตพิรุธไม่โปร่งใสในส่วนใด ทั้งคดียาเสพติด พยานบุคคลเท็จหรือไม่  ความเร็วรถที่ถูกเปลี่ยนกลับ

 

ผลสรุปจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและทบทวนคำสั่งทั้งอัยการและตำรวจนำไปสู่การดำเนินฟ้องคดีนี้ต่อได้ครับ

 

ไม่ว่าผลการตรวจสอบจะออกมาอย่างไร

 

ใครจะถูกจะผิดชั้นไหนตำรวจ ทนาย อัยการ  หรือกรรมาธิการค่อยว่ากัน 

 

ที่สำคัญสุดคือต้องเร่งแก้ไข นำคดีนี้กลับเข้ากระบวนการพิสูจน์กันต่อในชั้นศาลยุติธรรม  

 

ไม่ใช่การฆ่าตัดตอนกระบวนการยุติธรรมด้วยเทคนิคกฎหมายเช่นที่ผ่านมาครับ