นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "ไอ้ไข่”กับยุทธศาสตร์ Soft Power ของไทย" โดยระบุว่านครศรีธรรมราชช่วงนี้คึกคักจนผมตกใจ ตอนแรกก็นึกเอะใจว่าทำไมตั๋วเครื่องบินแพงกว่าปกติ และเต็มหมดเกือบทุกเที่ยว เมื่อวานนี้พอมาถึงสนามบินนครฯ คนแน่นเอี๊ยด คณะเราแวะทานข้าวที่ร้าน ‘ขนมจีนเมืองคอน’ ทุกโต๊ะเต็มหมดและมีคนรอคิว เมื่อเราทานเสร็จ (อร่อยมาก) บ่ายสอง ปรากฎว่าคิวยังกลับยาวกว่าเดิม
นี่คืออิทธิพลปรากฎการณ์วัด ‘ไอ้ไข่’ บวกกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมาย (เราได้รับแจ้งว่าโรงแรมที่ขนอมก็เต็มหมด) ที่ทำให้ช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวมานครฯกันเดือนละเกือบ 400,000 คน
ขากลับพอดีเจอรุ่นน้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดยุทธศาสตร์สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง (เบน สุวรรณคีรี - ลูกชาย ดร. ไตรรงค์) เลยได้แลกเปลี่ยนมุมมองเศรษฐกิจกัน
เราคุยกันว่าตอนนี้สภาวะเศรษฐกิจแตกต่างกันระหว่างแต่ละท้องถิ่นและระหว่างแต่ละประเภทธุรกิจอย่างมาก
โดยสรุปคือพื้นที่ไหนที่พึ่งพากำลังซื้อจากต่างประเทศมากหน่อยก็จะลำบาก (ภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น) แต่พื้นที่อย่างนครศรีธรรมราชกลับได้รับผลกระทบน้อย ส่วนหนึ่งเพราะระบบเศรษฐกิจค่อนข้างปิด (ซึ่งในยุค Old Normal แปลว่า ‘ล้าหลัง’) และตอนนี้ราคายางก็อยู่ในระดับที่ดี ราคาผลผลิตเกษตรอื่นๆก็ใช้ได้ และจังหวัดได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวในประเทศ
เบนเล่าว่านโยบายสถาบันการเงินในการดูแลลูกค้าช่วงนี้เหวี่ยงแหไม่ได้ หรือจะกำหนดโดยสำนักงานใหญ่เพื่อใช้กับทุกพื้นที่ก็ไม่ได้ สำคัญที่ต้องฟังผู้บริหารระดับท้องถิ่นเพื่อเข้าใจสถานการณ์และกำหนดนโยบายให้แม่นยำและเหมาะสม
ผมคิดว่านโยบายเศรษฐกิจของประเทศก็เหมือนกันครับ รัฐต้องศึกษาสถานภาพของแต่ละจังหวัด และพร้อมที่จะมีความยืดหยุ่นในการกำหนดนโยบายให้กับแต่ละพื้นที่ ที่สำคัญคือผู้บริหารต้องขยันลงพื้นที่เพื่อรับรู้สภาพความเป็นจริง
ความนิยมในนครฯวันนี้สะท้อนถึงอิทธิพล ‘Soft Power’ (พลังสร้างสรรค์) ที่ผมมองว่ามีความสําคัญต่อประชาชนและประเทศอย่างมากจากนี้ไป
นครฯ มีของดีเยอะ สถานที่เที่ยว วัดวาอาราม แหล่งธรรมชาติ อาหารอร่อย อากาศดี เส้นทางการเดินทางที่สะดวก
ในภาพใหญ่นี่คือโอกาสของประเทศ และนโยบายที่ทันยุคสมัยต้องเข้าใจที่จะส่งเสริมและขยายโอกาสจากของดีๆ ที่เรามี