วันนี้ (22 กันยายน 2563) ในการแถลงข่าว “สปสช.แจงยกเลิกสัญญา 64 คลินิก-รพ.เอกชนด้วยเหตุทุจริต” ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายจิรวุสฐ์ สุขได้พึ่ง คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บอร์ดสปสช. ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเอบริการสาธารณสุขเกินจริง กล่าวว่า จากการตรวจสอบการเบิกจ่ายของหน่วยบริการที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ทั้งที่เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่นและโรงพยาบาลพื้นที่กรุงเทพมหานคร
เบื้องต้นพบว่า ได้มีการนำสิทธิประชาชนมาแอบอ้างเบิกค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง โดยประชาชนไม่ได้เข้าใช้บริการจริง ซึ่งเป็นการจงใจสร้างหลักฐานเท็จขึ้นเพื่อเบิกเงินจาก สปสช.ถือว่าเป็นการทุจริต เป็นความผิดอาญา จึงได้แจ้งให้ สปสช.แจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบปรามฯในล็อตที่ 3 เพิ่มอีก 106 แห่ง
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้จากการตรวจสอบพบว่า มีการทุจริตและแจ้งความไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 จำนวน 18 แห่ง และ ครั้งที่ 2 อีกจำนวน 64 แห่ง จนถึงตอนนี้ รวม 3 ครั้ง ตรวจพบการทุจริตแล้ว 188 แห่ง
หลังจากนี้ สปสช.จะดำเนินการเรียกค่าเสียหายคืนทั้งหมด หากไม่คืนก็จะมีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่ง สปสช.มีความจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาการเป็นหน่วยบริการที่พบการทุจริตทั้ง 188 แห่ง เนื่องจากในสัญญาระหว่าง สปสช.กับหน่วยบริการมีการเขียนข้อสัญญาไว้ชัดเจนว่า ถ้ามีการเบิกเท็จ หรือไม่ถูกต้อง ทางสปสช.มีอำนาจยกเลิกสัญญา เพราะฉะนั้น สปสช. ต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ หากไม่ดำเนินการก็จะเข้าข่ายละเว้นไม่ปฏิบัติตามสัญญาได้
อย่างไรก็ดี การตรวจสอบที่พบการทุจริตในขณะนี้เป็นการดำเนินการตรวจสอบโครงการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเพียง 1 รายการ คือ รายการของกลุ่มโรคเมตาบอลิก จากที่มีทั้งหมด 18 รายการ และเป็นการตรวจสอบเฉพาะการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2562 ส่วนอีก 17 รายการนั้น จะมีการทยอยตรวจสอบหลังจากที่มีการตรวจสอบรายการที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว
อีกทั้งจะมีการเสนอบอร์ดสปสช.ขยายการตรวจสอบการเบิกจ่ายในโครงการนี้ย้อนหลังไปถึงปีงบประมาณที่เริ่มต้นโครงการด้วยราว 10 ปีซึ่งจะทำให้สามารถบอกได้ว่ามีการทุจริตเบิกจ่ายโครงการนี้ไปเท่าใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เช็กชื่อ "คลินิก-รพ.เอกชน" สปสช.เทสัญญาบัตรทอง อัปเดตที่นี่
"สปสช."แนะ 5 ช่องทางตรวจสอบสิทธิ"บัตรทอง"ด้วยตัวเอง
อัพเดท "ขั้นตอน-วิธีการ" ย้ายสิทธิบัตรทองด้วยตนเองได้ 2 ช่องทาง
ยืนยันว่า การดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายทั้งหมดไม่ได้กลั่นแกล้งใครหรือเลือกปฏิบัติ แต่เป็นการทำเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชน และปกป้องประโยชน์ของรัฐ เพราะจากการตรวจสอบพบรูปแบบการทุจริตที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจน เช่น การอ้างชื่อคนเพื่อเบิกเงินทั้งที่บุคคลนั้นไม่ได้เข้ารับการรักษา หรือ การสร้างชื่อพนักงานบริษัทขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อมาเบิกจ่ายแต่กลับพบว่ารายชื่อนั้นไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัท เป็นต้น นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบคลินิกทันตกรรมให้การรักษาบริการไม่ถูกต้องอีก 7 แห่งด้วย และอยู่ระหว่างการตรวจสอบทั้งระบบเช่นกัน
สำหรับอนุกรรมการฯได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 ชุด เพื่อให้ข้อเสนอแนะกับสปสช.ในการป้องกันปัญหาในอนาคต ประกอบด้วยคณะทำงานดูความเสี่ยงทั้งหมดของระบบเบิกจ่ายเงิน แล้วสรุปผลให้สปสช.ปรับปรุงแก้ไข และคณะทำงานดูระบบบริการทั้งหมด รวมถึงการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการต่างๆ และการเลือกคลินิกที่มีความมั่นใจ
ขณะที่นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ระบุว่า จากการตรวจสอบพบทุจริตในครั้งที่ 3 จำนวน 106 แห่ง มีประชาชนที่จะได้รับผลกระทบอีกราว 900,000 - 1 ล้านคนซึ่งอยู่ระหว่างการประสานและดำเนินการเพื่อหาหน่วยบริการรองรับ ส่วนมูลค่าความเสียหายรวมทั้ง 3 ครั้งเป็นเงิน 195 ล้านบาท กระทบประชาชนผู้มีบัตรทองราว 2 ล้านคน