20 พ.ย.2563 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอ ผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง นายกฯ ตู่ ได้ไปต่อ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,477 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15 – 19 พ.ย. ที่ผ่านมา ผลสำรวจพบว่า เมื่อถามความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.7 ระบุผลงานด้านระบบสุขภาพ โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้บัตรประชาชนใบเดียวใช้ได้ทุกโรงพยาบาล
รองลงมาคือ ร้อยละ 95.5 ระบุผลงานด้านคมนาคม รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีผลงานถนนเส้นทางต่างระดับเชื่อมภูมิภาค เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ร้อยละ 94.6 ระบุ ผลงานด้านการศึกษา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีผลงานความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษ ฝาบ้านไม่ครบสี่ด้าน จะดูแลจนจบปริญญาตรี มีงานทำ นอกจากนี้ ร้อยละ 94.5 ยังระบุผลงานด้านเศรษฐกิจการศึกษา โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาช่วยพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กนักเรียนยากจนพิเศษให้มีทักษะดี มีงานทำรายได้ดี
ในส่วนของผลงานด้านเศรษฐกิจนั้น เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า ร้อยละ 94.4 ระบุ ผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เกิดโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC
ร้อยละ 94.0 ระบุด้านคมนาคม โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีผลงานรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ของคนเมือง และร้อยละ 93.8 ระบุผลงานระดับโลก ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถรับมือวิกฤตโควิดได้อันดับหนึ่งของโลก
นอกจากนี้ ร้อยละ 92.0 ยังระบุว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีผลงานโครงการ “คนละครึ่ง” แก้ปัญหาปากท้อง กระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ถูกจุดตรงเป้า ทั้งนี้ ร้อยละ 91.7 ระบุรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรขยายเวลา และเร่งแก้ปัญหาโครงการคนละครึ่งให้ดีที่สุด เช่น ขยายฐานคนที่มีสิทธิให้มากขึ้น แก้ระบบฐานข้อมูลที่ผิดพลาด ระบบขัดข้อง ร้านค้าโกงลูกค้าลดจำนวนสินค้า โก่งราคา เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯออกแถลงการณ์ ลั่นยกระดับบังคับใช้กฎหมายคุมม็อบ
WHO ชมเชยไทยต้นแบบรับมือโควิด-19 ชวนให้ประเทศต่างๆ ทำตาม
ต่างชาติปลื้มไทย รับมือ“โควิด”ได้ดี
ร้อยละ 89.4 ยังระบุด้วยว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรเปิดประเทศกระตุ้นท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19
ประเด็นที่น่าพิจารณาจากผลการสำรวจครั้งนี้ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.7 ระบุ ความขัดแย้งของคนในชาติ ปัญหาบ้านเมืองยังอยู่ในสถานการณ์ที่ “ควบคุมได้” ในขณะที่ร้อยละ 25.3 ระบุ “ควบคุมไม่อยู่แล้ว” อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.1 เห็นด้วยที่ว่า ควรมีนายกรัฐมนตรีคนกลาง ไม่สังกัดพรรคการเมือง เพื่อทำประโยชน์ให้คนทั้งประเทศมากกว่าการเอื้อประโยชน์จัดสรรงบให้พื้นที่ฐานเสียงของตนเท่านั้น ในขณะที่ร้อยละ 9.9 ไม่เห็นด้วยกับการมีนายกฯคนกลาง
ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงบุคคลที่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในสถานการณ์แบบนี้ มากที่สุด พบว่า อันดับที่หนึ่งส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 ระบุเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งทิ้งห่างอันดับสอง หลายเท่า คือนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร้อยละ 15.0
ส่วนอันดับสาม ที่สูสีขึ้นมาเทียบใกล้เคียงอันดับสองคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ร้อยละ 14.7) ตามด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ร้อยละ 7.3) และอื่น ๆ เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นต้น ร้อยละ 3.7 ตามลำดับ
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวสรุปว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ตอนนี้ ณ เวลานี้ คนส่วนใหญ่ยังคิดว่ารัฐบาลและทุกฝ่ายช่วยกันควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติเอาไว้ได้ และคนส่วนใหญ่ยังเห็นผลงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสุขภาพที่รับมือวิกฤตโควิดได้อันดับหนึ่งของโลก ด้านคมนาคมที่สร้างเส้นทางต่างระดับเชื่อมภูมิภาคของประเทศ เช่น ภาคอีสานได้สำเร็จในยุคนี้และรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ของคนเมือง ในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจของโลก และยังมีผลงานด้านความเสมอภาคทางการศึกษาที่ช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษที่ฝาบ้านไม่ครบสี่ด้านในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่แรกเข้าเรียนช่วยเหลือทุกอย่างจะขยายผลถึงปริญญาตรีมีงานทำเมื่อเรียนจบ และยังช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครองมีทักษะดีมีงานทำรายได้ดีระหว่างการศึกษา ผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เป็นต้น ส่งผลทำให้ฐานสนับสนุนของประชาชนให้ “นายกฯ ตู่ได้ไปต่อ” ในท่ามกลางคนไทยทุกคนที่มีจิตใจเป็นกลาง ไม่ใช้มิจฉาทิฏฐิต่อกัน
“นายกฯ ตู่ได้ไปต่อ เพราะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากที่สุดกับสถานการณ์ของประเทศปัจจุบันที่นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งได้ด้วยการสนับสนุนของหลายพรรคการเมืองเสมือนนายกรัฐมนตรียืนอยู่บนแพลอยน้ำที่ต่อขึ้นมาจากหลายส่วน สะท้อนให้เห็นว่าสังคมการเมืองไทยมีหลายขั้วไม่ใช่แค่สองขั้วที่เรียกขานกันว่าเป็นพวกสลิ่มกับพวกชังชาติเท่านั้น จึงไม่ง่ายที่จะเกิดการเผชิญหน้าเหมือนบางยุคบางสมัยเพราะห้วงเวลานี้สังคมไทยมีหลายขั้วหลายกลุ่ม” ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าว และว่า
ไม่ควรมองการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ เป็นศัตรูกัน ถ้าการเคลื่อนไหวของม็อบไม่รุนแรงบานปลายถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในสังคมที่อาจจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของคนส่วนใหญ่ภายในประเทศให้สำนึกรู้คุณแผ่นดิน ปกป้องรักษาสถาบันหลักของชาติอย่างเข้มแข็งพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์โดยไม่หวั่นไหว แต่คนที่ทำผิดกฎหมายต้องถูกจัดการอย่างเคร่งครัดเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเกิดการลอกเลียนแบบพฤติกรรมทำตาม ๆ กันจนอาจกลายเป็นโจทย์ที่ยากและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอันจะเป็นอันตรายต่อความรักความสามัคคีของคนในชาติด้วยความหลากหลายบนแผ่นดินเดียวกัน