“ฉีกทิ้งหลักการด้านการคลัง?”
ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 กระทรวงการคลังได้เสนอร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 7 แสนล้านบาท เพื่อสาธารณสุข 3 หมื่นล้าน เพื่อเยียวยา 4 แสนล้าน และส่วนที่น่าเป็นห่วงมากสุด คือเพื่อฟื้นฟู 2.7 แสนล้าน
*น่าสงสัยทำไมเสนอ ครม. เป็นวาระจร?
ทำไมจู่โจม แทนที่จะโปร่งใสเปิดเผย แทนที่จะให้เอกสารล่วงหน้า
*น่าสงสัยว่า เป็นประตูไปสู่เงินทอนและผลประโยชน์แก่ สส. พรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่?
พ.ร.ก. 1 ล้านล้านเดิม ก็มีข่าวว่าการใช้เงินฟื้นฟูหละหลวม ส่วนหนึ่ง ใช้เป็นงบส่วนราชการอันสามารถเป็นประโยชน์แก่พรรคที่คุมกระทรวง ส่วนหนึ่ง ผันไปเป็นงบแจก สส. วงเงิน 4.5 หมื่นล้าน จริงหรือไม่?
ดังนั้น สังคมไทยมีหน้าที่จะต้องช่วยกันวิเคราะห์เจาะลึก ตีแผ่ว่ารัฐบาลวางแผนให้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างไร
*ปัญหาเกี่ยวกับความฉุกเฉิน ความฉุกเฉินเกิด โดยไม่คาดคิด? หรือโดยตั้งใจ?
น่าสงสัยว่า รัฐบาลรู้ปัญหาโควิดมากว่า 15 เดือน แต่ทำไมไม่เตรียมเสนอรัฐสภาเพื่อกู้เงินด้วยวิธีออกเป็นพระราชบัญญัติไว้ ให้พร้อมแต่เนิ่น ๆ กลับปล่อยให้เหตุการณ์สุกงอม เป็นผลไม้ใกล้หล่น?
ในวันที่ประชาชนเดือดร้อนหนัก รัฐจำเป็นต้องมีเงินเพื่อแก้ปัญหา จะไม่มีใครกล้าขัดขวางการกู้เงินเพื่อประชาชน
สถานการณ์สุกงอมที่เอาประชาชนเป็นตัวประกัน รวมไปถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ จึงมักจะเป็นช่องทางหาประโยชน์ส่วนตนที่สะดวกง่ายดาย
*ปัญหาช่องโหว่รั่วไหล ใน พ.ร.ก. ของรัฐบาลประยุทธ์ เกิดได้อย่างไร?
ปัญหาที่ใหญ่และน่ากลัว คือ พ.ร.ก. ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ มีช่องโหว่ใหญ่โต ที่เปิดให้รัฐบาลสามารถใช้เงินกู้ได้ง่าย และหละหลวมได้ตามใจ
ดังจะเห็นใน พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เมื่อปี 2563 มีข้อกำหนดที่แตกต่างจาก พ.ร.ก. ในอดีต ดังนี้
มาตรา 7 กำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ออกแบบกฎหมายให้เป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
มาตรา 8 กำหนดให้คณะกรรมการฯ มีหน้าท่ีและอำนาจ ต่อไปนี้
(1) พิจารณากลั่นกรองแผนงานหรือโครงการให้เป็นไปตามแผนงานหรือโครงการใช้จ่ายเงินกู้ ตามพระราชกำหนดนี้ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ
(2) กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการท่ีใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดนี้ และรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยทุกสามเดือน
(3) … (4) … (5) …
(6) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อวางระเบียบเกี่ยวกับกับการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดนี้ ระเบียบดังกล่าวเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้อ่านจะเห็นได้ว่า คณะกรรมการนี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างไม่เคยมีมาก่อน คือ หนึ่ง เลือกโครงการเอง สอง กำกับโครงการเอง และ สาม วางระเบียบเอง แบบครบวงจร
ถึงแม้มาตรา 7 วางกรอบให้คณะกรรมการฯ มีความหลากหลาย โดยมีเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ ปลัดสานักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนไม่เกินห้าคน เป็นกรรมการ
แต่รายชื่อเหล่านี้ไม่เกินความสามารถที่นักการเมืองจะสั่งการ โดยเฉพาะเมื่อการดำเนินการตามบัญชาของนักการเมืองมีความปลอดภัยแก่ข้าราชการ
เพราะคณะกรรมการฯ ทำหน้าที่กำกับโครงการเสียเอง และวางระเบียบเสียเอง ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะถูกตรวจสอบ และตีความไปว่า ข้าราชการปฏิบัติผิดไปจากระเบียบที่ตนเองวาง จะมากมายได้อย่างไร?
*การเขียน พ.ร.ก. ในอดีต ก่อนหน้ารัฐบาลประยุทธ์ เป็นอย่างไร?
มี 3 รัฐบาลที่ออก พ.ร.ก. กู้เงินทำนองนี้ เพื่อแก้ปัญหาฉุกเฉิน
> รัฐบาลอภิสิทธิ์ คุณกรณ์เป็น รมว.คลัง ปี 2552
> รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผมเป็น รมว.คลัง ปี 2555 และ
> รัฐบาลประยุทธ์ คุณอุตตม ปี 2563 และคุณอาคมเป็น รมว.คลัง ปี 2564 (มีคุณสุพัฒนพงษ์ที่เรียกตัวเองเป็น รมว.คลัง อาวุโส ที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย)
พ.ร.ก. สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้น เพื่อแก้ปัญหาจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ส่วน พ.ร.ก. สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมใหญ่
ทั้งสองฉบับตรงไปตรงมา คือบัญญัติวิธีการ
ทำงานแต่ด้านเงินกู้ด้านเดียว สมกับชื่อ พ.ร.ก. คือ
พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552
พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555
ทั้งสองฉบับ ไม่มีข้อบัญญัติด้านการใช้จ่ายเงินแบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จเหมือน พ.ร.ก. ของรัฐบาลประยุทธ์
โดยมาตรา 4 วรรคสอง ของทั้งสองฉบับกำหนดเพียงว่า กระทรวงการคลังอาจนำเงินที่ได้จากการกู้ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ
ระบุวัตถุประสงค์ในฉบับแรก เพื่อใช้จ่ายหรือลงทุนเพื่อฟื้นฟูหรือเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจก็ได้
ในฉบับที่สอง เพื่อนำไปใช้จ่ายในการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศก็ได้
สรุปแล้ว ทั้งสองฉบับกำหนดให้ใช้จ่ายเงินตามวิธีปกติของหน่วยงานที่ได้รับเงิน ไม่มีอำนาจพิเศษ ไม่มีช่องโหว่ ไม่มีช่องทางที่อาจมีการรับเงินทอน หรืออาจมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้น เกินเลยจากกฎระเบียบปกติ
การใช้เงินใน พ.ร.ก. ทั้งสองฉบับ จึงรัดกุม เป็นไปตามครรลองปกติ เป็นการบริหารการคลังเพื่อประโยชน์ของประเทศอย่างแท้จริง
*พ.ร.ก. ที่เปิดช่องโหว่รั่วไหลอย่างของรัฐบาลประยุทธ์ เคยมีมาก่อนหรือไม่?
การออก พ.ร.ก. โดยกระทรวงการคลังในอดีตก่อนหน้าปี 2552 นั้น จะใช้วิจารณญาณและความซื่อตรงมาก ออกเฉพาะเมื่อจำเป็นจริงๆ และใช้แก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น
พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังปรับโครงสร้างเงินกู้ต่างประเทศ พ.ศ. 2528 ก็เฉพาะเพื่อแก้ปัญหาเงินกู้ต่างประเทศแบบตรงไปตรงมา
พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 ก็เฉพาะเพื่อแก้ปัญหาระบบแบงค์ล้มในวิกฤตต้มยำกุ้ง
และต่อมาเปลี่ยนแปลงอีก 2 ฉบับ ก็ทำแบบตรงไปตรงมา
สรุปแล้ว ก่อนหน้ารัฐบาลประยุทธ์ ไม่เคยมีการใช้ พ.ร.ก. เป็นเครื่องมือในการใช้จ่ายเงิน ไม่มีการหลบเลี่ยงให้หลุดออกไปจากระเบียบกฎกติกาปกติ แม้แต่ฉบับเดียว
รัฐบาลประยุทธ์ที่ออก พ.ร.ก. 1 ล้านล้านในปี 2563 เป็นรัฐบาลแรก ที่ ‘ยัดไส้’ เอากระบวนการใช้จ่ายเข้าไปใส่ไว้ใน พ.ร.ก.
เป็นการหลบเลี่ยงกฎกติกาปกติอย่างแยบยล อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ผมยังไม่เห็นร่าง พ.ร.ก. 7 แสนล้าน แต่ที่วิจารณ์นี้ เพราะคาดเดาว่า รัฐบาลประยุทธ์จะยัดไส้ ไม่ต่างจาก พ.ร.ก. 1 ล้านล้าน
เพราะร่างเดิมนั้นใช้อำนวยความสะดวกให้แก่พรรคร่วมทุกพรรคได้เต็มที่ ผมจึงเดาว่า คงจะออกใหม่ ให้มีช่องโหว่ไว้พร้อมเหมือนเดิม
นี่หรือเปล่า ที่ต้องทำแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เข้าเป็นวาระจร ไม่แจกเอกสารล่วงหน้า และที่ต้องทำเป็นวาระลับ ห้ามแพร่งพรายจนกว่าจะลงพระปรมาภิไธย!
ภาษาอังกฤษเรียกวิธีการนี้ว่า fait accompli แปลว่า มัดมือชก
*น่าคิดว่า การซิกแซก เอาวิธีการใช้เงิน ไปยัดใส้ใน พ.ร.ก. เสียหายอย่างไร?
น่าเป็นห่วงว่า กระทรวงการคลังยอมเป็นเครื่องมือให้ใช้รูปแบบการออก พ.ร.ก. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่รัฐบาล ในการเสนอโครงการใช้เงินเอง กลั่นกรองเอง อนุมัติเอง กำกับเอง และออกระเบียบเอง ยอมได้อย่างไร?
รัฐมนตรีและข้าราชการสมัยนี้ ไม่สนใจสร้างหลักการทำงานที่มั่นคงให้แก่ระบบราชการแล้วหรือ?
ทำกันอย่างนี้ ภาระไปตกอยู่กับประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร?
และถ้าทำเรื่องนี้ได้ จะเป็นประเพณี ต่อไปก็ทำได้ทุกเรื่อง ใช่หรือไม่?
พลเอกประยุทธ์ที่ปฏิวัติในวันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน พ.ร.ก. นี้ ทำให้ท่านได้กลายเป็นนักการเมืองที่ไม่น่าเชื่อถือไปแล้ว
วาระแห่งชาติ เพื่อต่อต้านคอร์รัปชัน ที่ท่านอ้างเป็นจุดขาย แต่กลับเสนอ พ.ร.ก. ที่มาพร้อมกับช่องโหว่ ทำให้ภาพพจน์ของท่านเสียไปหมดแล้ว
หมายเหตุ: การกล่าวถึงชื่อบุคคลใดมิใช่เป็นการกล่าวหากระทำความผิด แต่เป็นเพื่อประกอบการบรรยายทางวิชาการเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว วันที่ 22 พ.ค.2564 ว่า
พลเอกประยุทธ์อยู่มา 7 ปี ใช้งบแผ่นดินไป 20.8 ล้านล้านบาท กู้เงินทะลุ 4.9 ล้านล้านบาท ทำหนี้สาธารณะไทย ทะยาน ทะลุ 8.47 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนคนไทยสูงเป็นประวัติการ 14 ล้านล้านบาท ทะลุ 89.3% ของ GDP เอาแต่หว่านเงินแบบไร้ยุทธศาสตร์ ยิ่งทำคนไทยยิ่งจน บริหารล้มเหลวทุกมิติ ทำประเทศเดินถอยหลัง
เสียดายโอกาสของคนไทย
#7ปีรัฐประหาร
#7ปีแห่งความถดถอย
#7 ปีที่สูญเปล่าของคนไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
"ธีระชัย" ชี้เก้าอี้ "รมว.คลัง" สะท้อนวิกฤตศรัทธาตัวนายกฯ
7 ปีรัฐประหาร "ยิ่งลักษณ์" ถาม "ประยุทธ์" คืนความสุขให้กับประชาชนแล้วหรือยัง
“7ปี รัฐประหาร” ถาม "ยิ่งลักษณ์" กลับ รู้สึกผิดไหม
'คุณหญิงสุดารัตน์' วอนคนไทย 'ฉีดวัคซีน' สร้างภูมิคุ้มกันหมู่