8 มิถุนายน 2564 - จากการที่รัฐบาลไทย มีนโยบายความพยายามจะเข้าร่วม ‘ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก’ หรือ CPTPP ซึ่งยังคงเกิดข้อถกเถียงในสังคมอย่างวงกว้าง ถึงประโยชน์ และข้อเสียเปรียบที่ประเทศชาติจะได้รับ ผ่านแฮชแท็ก #CPTPP ที่โด่งดังในช่วงก่อนหน้านี้
ขณะ นายดอน ปรมัตถ์วินัย ฐานะประธานคณะกรรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ได้ออกมาชี้แจงภายหลัง ว่า ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงขยายระยะเวลาศึกษาผลกระทบเพิ่มเติม 50 วัน ซึ่งมีกรอบระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.-25 มิ.ย.64 และภายในวันที่ 25 มิ.ย. จึงจะเสนอผลการศึกษาต่อ ครม.ให้พิจารณาการเข้าร่วมการเจรจาข้อตกลงหรือไม่
ล่าสุด วันนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค1 ยังคงเดินหน้าคัดค้านการเข้าร่วม CPTPP โดยให้เหตุผลว่า จากผลการศึกษาตามแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (จัดจ้าง) สรุปได้ว่า การเข้าร่วม CPTPP จะช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย (GDP) ขยายตัวร้อยละ 0.12 คิดเป็นมูลค่า 13,320 ล้านบาท การลงทุนขยายตัวร้อยละ 5.14 คิดเป็นมูลค่า 148,240 ล้านบาท
ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ศึกษา CPTPP ของสภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งข้อสังเกตถึงผลการศึกษาดังกล่าวว่าไม่ได้คำนึงถึงบริบททางสังคมและบทบาทของผู้ที่เกี่ยวข้องที่มิใช่รัฐ (Non - state actor) อีกทั้งยังเป็นการศึกษาเชิงมหภาคที่ไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ผลกระทบต่อประเด็นรายละเอียดเชิงลึกได้
รวมถึงการตั้งสมมุติฐานการเปิดเสรีการค้าทันทีร้อยละ 100 ของผลการศึกษายังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นอกจากนี้ การวิเคราะห์ผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยแบบจำลองไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อาทิ ศักยภาพการบังคับใช้กฎหมาย กฎระเบียบในประเทศที่สนับสนุนให้เกิดการลงทุน เป็นต้น
ดังนั้น การเข้าร่วม CPTPP อาจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะช่วยให้ไทยได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ศึกษา CPTPP หน้า 77 - 78
ข้อมูลอ้างอิงสำคัญ
https://www.parliament.go.th/ewtcommittee/ewt/25motion_cptpp/more_news.php?cid=141&filename=129
ส่วนผลกระทบด้านลบต่องบประมาณ หรือ ค่าใช้จ่ายของประเทศนั้น จากข้อเสนอของสภาเภสัชกรรมต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า จะเกิดผลกระทบไม่น้อยกว่า 420,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 30 ปี รวมทั้งมูลค่าของอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศลดลงสูงสุดถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านยาที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่องบประมาณของรัฐในการจัดบริการสาธารณสุข
โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกอบกับข้อมูลจากผลการวิจัยของ รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์ และคณะ พบว่า อุตสาหกรรมยาขนาดเล็ก ต้องพึ่งพิงการนำเข้าเป็นหลัก ในปี 2562 และมีบริษัทที่มีขนาดตลาดมากกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เพียงร้อยละ 17 จำนวนบริษัท 21 แห่ง จากทั้งหมด 123 แห่ง ทำให้สัดส่วนการผลิตยาในประเทศเมื่อเทียบกับการนำเข้ายา มีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากร้อยละ 69 ในปี 2530 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 29 ในปี 2562 และมีแนวโน้มการนำเข้ายาสูงขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ จากการคาดการณ์ผลกระทบของ CPTPP ในระยะเวลาประมาณ 30 ปี (2562 - 2590) ประเทศไทยจะมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นมาจากการพึ่งพิงการนำเข้ายาที่สูงมาก ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านยาที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงด้านยาของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยสรุปดังนี้
1) ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นสูงสุด เฉลี่ยปีละ 14,000 ล้านบาท
2) สัดส่วนการพึ่งพิงนำเข้ายาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 71 เพิ่มเป็นร้อยละ 89
3) มูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศลดลง คิดเป็นมูลค่าตลาดที่หายไปสูงสุดถึง 1 แสนล้านบาท
จากเหตุผลข้างต้น สภาองค์กรของผู้บริโภคขอเสนอให้คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ขอให้ท่านตระหนักในผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนไทยทั้งประเทศ
หากมีการเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการเจรจาเข้าร่วมความตกลง CPTPP ผ่านการพิจารณาด้วยความรอบคอบและมองประโยชน์ของประชาชนที่เป็นผู้บริโภคส่วนใหญ่ มากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของกลุ่มคนส่วนน้อยของประเทศ ดังนั้นสภาองค์กรของผู้บริโภค ขอให้ชะลอการส่งหนังสือแสดงเจตจำนงค์เข้าร่วม CPTPP ตามข้อเสนอนโยบายและมาตรการ โดยมีรายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง