วันที่ 15 มิ.ย. 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษก ศบศ. กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์มาตรการเยียวยาประชาชนในทำนองคนเดือดร้อนมากหรือยากจนจะได้รับเงินจากรัฐบาลน้อยกว่าคนที่เดือดร้อนน้อยหรือคนไม่ยากจนว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาล มุ่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทุกกลุ่ม เพื่อลดภาระค่าครองชีพ และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งประกอบด้วย 4 โครงการ ครอบคลุมประชาชน 51 ล้านคน ได้แก่
1.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 จำนวน 13.6 ล้านคน 2.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จำนวน 2.5 ล้านคน 3.โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 31 ล้านคน และ4.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ จำนวน 4 ล้านคน โดยทั้ง 4 โครงการจะเริ่มใช้จ่ายในวันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.2564
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการให้สวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งครอบคลุมประชากร จำนวนกว่า 13.65 ล้านคน เริ่มมีการให้สวัสดิการตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งแบ่งเป็นสวัสดิการหลัก ได้แก่ บรรเทาค่าครองชีพ (วงเงินสิทธิค่าอุปโภค/บริโภค: จำนวน 200 บาท/คน จำนวนประมาณ 3.6 ล้านคน และ 300 บาท/คน จำนวนประมาณ 10 ล้านคน) บรรเทาค่าเดินทาง ได้แก่ ค่ารถเมล์ รถไฟฟ้า (500 บาท/คน/เดือน) ค่า บขส. (500 บาท/คน/เดือน) ค่ารถไฟ (500 บาท/คน/เดือน) ค่าก๊าซหุงต้ม (45 บาท/คน/3 เดือน) ค่าประปา 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน ค่าไฟฟ้า 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน และสวัสดิการอื่น ๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายปลายปี 2561 จำนวน 500 บาท ค่าใช้จ่ายปลายปี 2562 สำหรับผู้สูงอายุเกิน 60 จำนวน 500 บาท สำหรับผู้มีบุตร จำนวน 300 บาท สำหรับคนพิการ จำนวน 200 บาท ผ่านช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) รวมแล้ว ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับความช่วยเหลือสวัสดิการหลักกว่า 2,000 บาทต่อเดือน
การเยียวยาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีการเพิ่มเติมวงเงิน (Top up) ค่าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยตลอดช่วงการระบาดของ COVID-19 เริ่มจากปี 2563 ถึงปัจจุบัน มีการเพิ่มวงเงินสิทธิให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ 1.ตั้งแต่ต.ค. 2563-มี.ค. 2564 โดยเพิ่มให้ 500 บาทต่อคน ระยะเวลา 6 เดือน รวมเป็นวงเงินสิทธิ 3,000 บาทต่อคน ภายใต้โครงการเพิ่มกำลังซื้อระยะที่ 1 และ 2.ช่วงก.พ. เป็นต้นมาเพิ่มเติมสิทธิวงเงินอีก 7,400/7,600 บาท ต่อคน ภายใต้โครงการเราชนะ ซึ่งสามารถใช้จ่ายได้ถึงมิถุนายน 2564
สำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในโครงการเพิ่มกำลังซื้อ ระยะที่ 3 ที่กำลังจะเริ่มในเดือนก.ค. 2564 เป็นการเพิ่มสิทธิวงเงินจำนวน 200 บาทต่อคน ระยะเวลา 6 เดือน รวม 1,200 บาทต่อคน สามารถนำไปใช้จ่ายได้ที่ร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 โดยไม่มีเงื่อนไขที่ประชาชนจะต้องใช้จ่ายเงินของตัวเองเพื่อให้ได้รับสิทธิ ดังนั้น ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับความช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมจากรัฐในช่วงการระบาดของ COVID-19 รวมเป็นเงินกว่า 11,600/11,800 บาทต่อคน
ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ ไม่เกิน 4 ล้านคน ซึ่งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีการเติมเงินของตนเองเข้า g-wallet ก่อน เพื่อไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจึงจะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) และการที่จะได้รับ e-Voucher จำนวน 7,000 บาทต่อคน ประชาชนต้องมีการใช้จ่ายเงินตนเองเป็นจำนวน 60,000 บาทต่อคน ในระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนก.ค.-ก.ย. 2564 ซึ่งหากมีการใช้จ่ายจริง 1-40,000 บาทแรก จะได้รับ e-Voucher คืนร้อยละ 10 หรือไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน 40,001-60,000 บาท จะได้รับ e-Voucher คืนร้อยละ 15 หรือไม่เกินอีก 3,000 บาทต่อคน และต้องใช้จ่าย e-Voucher ที่ได้รับภายในเดือนธ.ค. 2564 โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้
ทั้งนี้ หากประชาชนที่เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้จำนวน 4 ล้านคนใช้จ่ายเต็มสิทธิ จะส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ จำนวน 240,000 ล้านบาท และเมื่อประชาชนมีการนำ e-Voucher กลับมาใช้ ก็จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มอีก 28,000 ล้านบาท รวมเป็น 268,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าโครงการของรัฐบาลถูกออกแบบมาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เพื่อการบรรเทาภาระค่าครองชีพ และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้กลุ่มเป้าหมายและวิธีการสนับสนุนมีความแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม จึงอยากให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจ พล.อ.ประยุทธ์จะเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 นั้น ล่าสุดมีประชาชนมาลงทะเบียนวันแรกแล้วกว่า 20 ล้านคน คาดว่าจะครบ31 ล้านคนในเร็วๆ นี้ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชน