สถานการณ์โควิด -19 ที่เดิม เป็นปัจจัยบวกล่อการลงทุนของต่างชาติ ให้แห่เข้ามาในประเทศไทย โดยคาดปี 2564 อาจะทะลักเข้ามาในหลายรูปแบบ จากการที่รัฐบาลไทยได้รับเสียงชื่นชมยกย่องไปทั่วโลก ว่าสามารถควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยมนั้น ทำให้ไทยได้กลายเป็นเป้าหมาย” เมืองอสังหาฯน่าอยู่ติดอันดับโลก หลังคาดยุคหลังโควิด จะมีดีมานด์ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว ในแง่ Second Home และซื้อเพื่อลงทุนจากลูกค้าต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนนำมาซึ่งนโยบายดึงดูดน่าสนใจ ด้วยการให้วีซ่าระยะยาว แลกกับการซื้ออสังหาฯ ทางอ้อม ผ่านโครงการบัตร “Elite Flexible One”
โดยบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้ผลักดัน เจาะการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมใหม่ก่อสร้างเสร็จพร้อมอยู่ มูลค่าไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท จะได้สิทธิวีซ่า อายุ5 ปี และบริการอื่นๆ โดยได้สร้างความตื่นตัวในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่น้อย
ล่าสุด นายสมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (TPC) เผยว่า กรณีมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ สนใจเข้าร่วมในโครงการบัตรดังกล่าว ราว 30 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แทบทั้งสิ้น คาดเพื่อต้องการระบายสต็อก และเพิ่มกระแสเงินสด พร้อมได้เสนอแนะเงื่อนไขอื่นๆเข้ามาหลายข้อ โดยเฉพาะ การขอเพิ่ม 2 หลักเกณฑ์ ให้สิทธิ สำหรับการซื้อ-โอนกรรมสิทธิ์ในโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใน 1.กลุ่มรูปแบบลิสต์โฮลด์ (สัญญาเช่า 30 ปี) ร่วมด้วย ซึ่งเดิมทีจำกัดแค่กลุ่มฟรีโฮลด์
รวมถึง ครอบคลุมไปยัง 2. การซื้อลักษณะวางมัดจำไว้ แต่ไม่สามารถเข้ามาดูห้อง ทำสัญญาได้ ซึ่งเป็นยอดขายก้อนใหญ่ของผู้ประกอบการที่ต้องการให้ผลักดัน โดยตนเองเตรียมนำข้อเสนอดังกล่าว เข้าที่ประชุมคณะกรรมการเร็วๆ นี้ หากเพิ่มเพดานได้ คาดเม็ดเงินลงทุนอสังหาฯ ที่วางไว้ว่าจะเกิดขึ้นมากกว่า 1 พันล้านบาท อาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาท มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม และไม่นับรวม ผลที่จะเกิดกับโปรแกรมพิเศษใหม่
“Elite Flexible Plus” ซึ่งกำลังผลักดัน และได้รับอนุมัติในหลักการจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แล้ว โดยหลักเกณฑ์นั้น จะเสนอขายใบละ 1-2 ล้านบาท สำหรับสมาชิกใหม่ ที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทย ผ่าน 3 หมวดสำคัญ โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์ ในมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป หรือ 30 ล้านบาทขึ้นไป จะได้สิทธิวีซ่า 10-20 ปี
อีกด้าน นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาและตัวแทนขายด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ให้ความเห็น “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียม กลุ่มลิสโฮลด์ ใจกลาง ซีบีดี โดยเฉพาะย่านราชดำริ หลังสวน พระราม 4 หรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ล้วนเป็นทำเลที่มีดีมานด์ ของกำลังซื้อระดับบนรองรับ และเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติจำนวนมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมดี ปลอดภัย เหมาะกับการพักผ่อน ใช้ชีวิต แม้จะเป็นในลักษณะการซื้อ ที่ไม่ได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ก็ตาม โดยส่วนใหญ่เป็นการถือครองแบบสัญญาเช่า 30 ปี
ส่วนกรณี ททท. เล็งเพิ่มเงื่อนไข ให้โครงการสร้่างเสร็จพร้อม ในกลุ่มลีสต์โฮลด์ ร่วมด้วยในบัตร Elite Flexible One นั้น มองจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติขึ้นมาก และเป็นผลดีกับผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะโครงการดัง เช่น โครงการ สินธร เรสซิเดนซ์ จากผู้พัํฒนาบริษัท สยามสินธร จำกัด ซึ่งเป็นคอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรี ราคาขายเฉลี่ย 2.5 แสนบาทต่อตร.ม. หรือ ยูนิตละ 10 ล้านบาทขึ้นไป ขณะอัตราปล่อยเช่าสำหรับชาวต่างชาติ อยู่ที่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมา การขายไม่หวือหวา เนื่องจากคนไทยให้การตอบรับน้อย จากปัจจัยลักษณะการถือครอง, ราคา และขนาดห้องใหญ่
อีกหนึ่งโครงการที่น่าจับตา สำหรับการซื้อเพื่อลงทุน คือ โครงการ ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นท์ โดย บมจ. เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (เดิม: โกลเด้นท์แลนด์) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการมิกซ์ยูส สามย่านมิตรทาวน์ ทำเลจุฬา-สามย่าน ซึ่งแม้จะมีราคาต่อยูนิตไม่สูงถึงระดับ 10 ล้านบาท อยูุ่ที่ราว 5 ล้านบาท หรือ ราคาเฉลี่ย 1.2 แสนบาทต่อตร.ม.เท่านั้น แต่เนื่องจาก ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีกลุ่มผู้เช่าชัดเจน (นิสิต-นักศึกษา)ทำให้เป็นที่หมายตาของต่างชาติ ในการซื้อเพื่อลงทุนรวมกันหลายยูนิต เช่นกัน ส่วนซัพพลายที่อยู่ระหว่างการขาย ณ ปัจจุบัย มีโดดเด่นทั้งสิ้น 8 โครงการ จำนวน 1,546 ยูนิต มูลค่าลงทุน 2.93 หมื่นล้านบาท เหลือขายราว 492 ยูนิต
ขณะความเคลื่อนไหว เมื่อไม่นานมานี้ อสังหาริมทรัพย์รายแรก ที่ประกาศตัวเข้าร่วมในโครงการดังกล่าว คือ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดคอนโดฯในกลุ่มลักชัวรี ราคาขายมากกว่า
10 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 11% ของตลาดหน่วยใหม่ประมาณ 1 หมื่นหน่วย (ปี 2561- มิ.ย.ปี 2563) ซึ่งมีฐานลูกค้าต่างชาติ จีน ฮ่องกง เกาหลี และไต้หวัน เต็มโควต้า 49% ในทุกโครงการ จับจังหวะทอง เพื่อใช้ในการเร่งให้ต่างชาติเข้ามาโอนกรรมสิทธิ์ และขายเพิ่ม ใน 3 โครงการขนาดใหญ่ ที่มียอดขายสูง 80-99% ได้แก่ เดอะ ลอฟท์ สีลม, เดอะ รีเวอร์ และ เดอะ ดิโพลแมท 39 โดยต่างมีราคาขายมากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม.
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานคณะกรรมการบริหาร ไรมอน แลนด์ คาดหวังว่า ในระยะที่เข้าร่วม 2 ปื จะได้ยอดโอนฯ เพิ่ม และยอดขายใหม่ 200 ล้านบาท “เป้าประสงค์หลัก ต้องการขยายฐานลูกค้าต่างชาติและเรียกความสนใจในโครงการเดอะ ลอฟท์ สีลม ซึ่งมีราว 40 ยูนิตรอโอนฯ และอีก 800 ตร.ม. รอขายเพิ่ม ส่วนในปี 2565 รอลุ้น ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ อีกหนึ่งโครงการ เข้าร่วม หากก่อสร้างแล้วเสร็จทันกำหนด ซึ่งผู้ซื้อไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ แต่ได้วีซ่าอยู่ไทย 5 ปี”
หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 40 ฉบับที่ 3,638 วันที่ 24 - 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดัมพ์คอนโดหรูรอขาย 4พันหน่วยให้วีซ่า5ปีพ่วงอิลิทการ์ดดูดต่างชาติ