นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่าทิศทางสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 3 และ 4 มีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นราว 5 - 10% เนื่องจากการขึ้นราคาของวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะราคาเหล็กที่ปรับขึ้นเกือบ 40% สูงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ต้นปี ประกอบกับค่าแรงช่างที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแรงงานต่างด้าวไม่สามารถเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ทำให้ธุรกิจก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ดึงแรงงานช่างฝีมือไทยกับบริษัทรับสร้างบ้าน
อย่างไรก็ตาม แม้ต้นทุนเหล็กจะปรับสูงขึ้น แต่เพื่อให้ลูกค้าที่มีความต้องการสร้างบ้านในช่วงนี้ ได้บ้านคุณภาพตามงบประมาณที่วางแผนไว้ แลนดี้ โฮม จึงใช้วิธีบริหารจัดการสต๊อกวัสดุก่อสร้างพร้อมเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ในการขอตรึงราคาเดิมไว้ ลูกค้าจึงตัดสินใจรีบปลูกสร้างบ้านในช่วงเวลานี้ เพราะกังวลต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต อาจส่งผลให้ต้นทุนการปลูกสร้างบ้านปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในงาน Landy Home Open House ที่จัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถปิดยอดขายได้ถึง 200 ล้านบาท และ ยอดรวม 5 เดือนสามารถปิดยอดขายได้มูลค่าสูงถึง 900 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนตามมูลค่าการปลูกสร้าง ดังนี้ กลุ่มบ้านหลังเล็ก Brand Trendy Home ราคา 2 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 18%, บ้านขนาดกลาง Brand Landy Home ราคา 5 - 15 ล้านบาท สัดส่วน 53% และบ้านลักชัวรี่ Brand Landy Grand ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 29%
ทั้งนี้ นอกจากแนวโน้มราคาบ้านที่ปรับสูงขึ้นเป็นตัวเร่งการตัดสินใจปลูกบ้านแล้ว ความมั่นคงของบริษัทการการันตีได้บ้านตามที่ตกลง งบไม่บานปลาย และเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัย ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นยอดขายของแลนดี้ โฮม ให้โตขึ้นสวนสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากบ้านทุกหลังของแลนดี้ โฮม จะติดตั้ง CAP+ ( Clean Air Positive Pressure) ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ที่มีคุณสมบัติ ช่วยลด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และรักษาระดับก๊าซออกซิเจน (O2) ภายในบ้าน ซึ่งหากร่างกายได้รับก๊าซออกซิเจนที่เพียงพอก็จะส่งผลให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของเด็กที่อยู่ในวัยเรียนรู้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง