ดีเบตยกแรก "ทรัมป์ VS ไบเดน" ใครนำ ใครตาม รอลุ้นแมทช์หยุดโลกเช้า 30 ก.ย.

29 ก.ย. 2563 | 09:23 น.

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 40 วันก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. นี่จึงเป็นโค้งสุดท้ายที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต จะต้องเร่งทำคะแนนนิยมและงัดกลยุทธ์ทุกกระบวนท่าออกมาขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิง

 

หนึ่งในอีเวนต์ที่จะเป็นตัวชี้ชะตาว่าใครพอจะมีเค้าลางในการครองบัลลังก์ทำเนียบขาวก็คือ การโต้วาที หรือดีเบต ที่คนทั่วโลกรอดู "แมทช์หยุดโลก" ระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ นายโจ ไบเดน คู่ท้าชิง ในศึกดีเบตยกแรกสู่เส้นทาง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะจัดขึ้นที่รัฐโอไฮโอในวันอังคารที่ 29 ก.ย.นี้ เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับวันพุธที่ 30 ก.ย.เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย

 

ดีเบตยกแรก \"ทรัมป์ VS ไบเดน\" ใครนำ ใครตาม รอลุ้นแมทช์หยุดโลกเช้า 30 ก.ย.

“การดีเบต” ถือเป็นธรรมเนียมทางการเมืองของสหรัฐที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี จะต้องออกมาแสดงวิสัยทัศน์ต่อชาวอเมริกันในด้านต่าง ๆ ซึ่งจากสถิติพบว่า หลายครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีดีเบตอาจทำให้คะแนนนิยมของผู้สมัครเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้แค่ชั่วข้ามคืน ผู้สมัครบางคนที่มีคะแนนนิยมสูงลิ่วก่อนการดีเบต แต่เมื่อขึ้นเวทีกลับหงายไพ่ผิดใบ หรือไม่ก็แพ้ทางคู่แข่ง ส่วนผู้สมัครบางคนที่ดูมีบุคลิกสงบนิ่งน่าเกรงขามจนเป็นที่ประจักษ์ ก็เคยถูกคู่ต่อสู้จี้จุดอ่อนและไล่ต้อนจนแสดงกริยาที่น่าตกใจบนเวทีดีเบตมาแล้ว

 

รายละเอียดบนเวทีดีเบตรอบแรก: โนเช็คแฮนด์ - โนทัช - โนสนโนแคร์

การประชันวิสัยทัศน์ในศึกดีเบตรอบแรกในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (เวลาไทย) จะมีการถ่ายทอดสดทั่วโลกผ่านทางสถานีโทรทัศน์ CNN โดยคริส วอลเลส ผู้สื่อข่าวมากประสบการณ์จากช่องฟ็อกซ์นิวส์ จะทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ ส่วนสถานที่จัดการดีเบตรอบแรกคือมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐสมรภูมิ หรือ "Battle Ground" ที่พรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่อสู้กันอย่างสูสีที่สุด

 

ตัวแทนของทรัมป์และไบเดนเห็นพ้องกันว่า ผู้อภิปรายทั้งสองจะไม่มีการจับมือทักทายกันก่อนการดีเบตตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโควิด-19 นอกจากนี้ ทั้งทรัมป์และไบเดนจะไม่มีการเอาข้อศอกชนกันด้วย ส่วนตำแหน่งการยืนบนเวทีนั้น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ทรัมป์จะใช้โพเดียมฝั่งขวาของเวที ขณะที่ไบเดนจะใช้โพเดียมฝั่งซ้าย และผู้เข้าชมการดีเบตจะถูกจำกัดเหลือเพียง 60-70 คน จากเดิมที่มีจำนวน 900-1,200 คน และทุกคนจะต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ

 

การดีเบตจะใช้เวลารวม 90 นาที ซึ่งทรัมป์และไบเดนจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ประวัติของผู้ท้าชิง, ศาลฎีกาสหรัฐ, โควิด-19, เศรษฐกิจ, เชื้อชาติและความรุนแรงในเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐ รวมทั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง โดยแต่ละหัวข้อจะใช้เวลาอภิปราย 15 นาที

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเชื่อว่า ศึกดีเบตรอบแรกนี้จะไม่มีใครยอมใคร และหัวข้อการแสดงวิสัยทัศน์ก็อาจทำให้เวทีลุกเป็นไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรับมือไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นประเด็นที่ทรัมป์ดูจะเสียเปรียบไบเดนอย่างมาก เนื่องจากปรากฏการณ์ "Virus Disruption" ที่ถาโถมเข้ามาในยุคที่ทรัมป์บริหารประเทศนั้น ได้พรากหลายสิ่งไปจากสหรัฐอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่ชีวิตผู้คนที่ล้มตายกว่าสองแสนคน ไปจนถึงตำแหน่งงานนับล้านที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจอย่างน่าใจหาย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลั่นกลองศึก! “ทรัมป์-ไบเดน” ดีเบตยกแรก 29 ก.ย.นี้

“ไบเดน” แฉเล่ห์ “ทรัมป์” ตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่

ศึกเลือกตั้งปธน.สหรัฐร้อนฉ่า “ไบเดน” ผงาดคู่แข่งทรัมป์อย่างเป็นทางการ

วิกฤติประท้วงทุบคะแนนนิยม “ทรัมป์” จ่อพ่ายเลือกตั้ง

 

หลังจบการดีเบตรอบแรกในวันพรุ่งนี้แล้ว ทรัมป์และไบเดนจะพบกันในการดีเบตรอบที่ 2 ในวันที่ 15 ต.ค. จากนั้น ในวันที่ 22 ต.ค. ทั้งคู่จะเผชิญหน้ากันในศึกดีเบตรอบ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย เพื่อให้ชาวอเมริกันได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปหย่อนบัตรลงหีบเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.

สีสันบนเวทีดีเบต: การเผชิญหน้ากันของคนสองขั้วที่มีพลังที่สุด

ด้วยบุคคลิกที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วของทรัมป์และไบเดน อาจทำให้การดีเบตมีสีสันแปลกตาและน่าสนใจ โดยทรัมป์เป็นคนพูดจาโผงผาง ก้าวร้าว พร้อมที่จะแตกหักกับคนรอบข้าง แตกต่างจากไบเดนที่มีบุคลิกสุภาพ พูดจาเรียบร้อย ดูยิ้มแย้มมีความเป็นมิตรกับผู้อื่น อย่างไรก็ดี ผู้ที่ชื่นชอบทรัมป์กลับมองว่า ทรัมป์มีเสน่ห์ในการกล่าวปราศรัย โดยสามารถพูดได้อย่างตื่นเต้นเร้าใจ แตกต่างจากไบเดนที่พูดจาราบเรียบและแทบจะมีโทนเสียงเดียว แต่สำหรับคนที่รักและศรัทธาไบเดกลับมอบว่า เขามีพลังดุดแม่น้ำสายใหญ่ที่นิ่งสงบแต่ไหลเชี่ยวอยู่ด้านล่าง และเมื่อถึงจุดพีคของการอภิปราย ไบเดนอาจกลายเป็นสึนามิที่ยกตัวขึ้นและถล่มคู่ต่อสู้จนหงายไม่เป็นท่า

ดีเบตยกแรก \"ทรัมป์ VS ไบเดน\" ใครนำ ใครตาม รอลุ้นแมทช์หยุดโลกเช้า 30 ก.ย.

ทรัมป์มักเรียกไบเดนด้วยฉายา "Slow Joe" หรือ "โจผู้เชื่องช้า" แถมตั้งคำถามว่า ไบเดนในวัย 78 ปีจะมีแรงบริหารประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกนี้ได้จริงหรือ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยท้าทายไบเดนให้ตรวจหาสารกระตุ้นก่อนการขึ้นเวทีดีเบต เพราะทรัมป์เชื่อว่า การที่ไบเดนสามารถยืนอยู่ได้นานๆ บนเวทีปราศรัยอาจเป็นเพราะใช้สารกระตุ้น

 

ด้วยบุคลิกเชิงรุกของทรัมป์เช่นนี้อาจทำให้เรามีโอกาสได้เห็นทรัมป์ก่อกวนสมาธิไบเดนให้สติหลุดเหมือนกับที่เคยทำกับฮิลลารี คลินตัน เมื่อครั้งที่ดีเบตกันในปี 2559 แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็อาจเห็นไบเดนใช้ไม้ตายด้วยการจี้จุดอ่อนทรัมป์ในเรื่องการรับมือวิกฤตโควิด-19 ... เรียกได้ว่า ทรัมป์และไบเดน เป็นมวยถูกคู่บนเวทีการเมืองสหรัฐ

 

นโยบายขายฝันของ 2 ผู้ท้าชิง: เมื่อฝันให้ไกล ก็ต้องไปให้ถึง

เมื่อย้อนดูคำมั่นสัญญาที่ทรัมป์ให้ไว้ในการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันเมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา ทรัมป์ยังคงนำเสนอนโยบายแบบฮาร์ดคอร์ ด้วยการประกาศว่า หากเขาได้รับเลือกให้นั่งตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง สิ่งแรกที่เขาจะทำคือ สหรัฐจะยุติการพึ่งพาจีน ด้วยการเสนอนโยบายเครดิตภาษีเพื่อดึงตำแหน่งงานออกจากประเทศจีน และจะเรียกเก็บภาษีจากบริษัทที่ถอนธุรกิจออกจากสหรัฐเพื่อไปสร้างงานในต่างประเทศ

 

"เราจะผลิตชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในด้านการผลิตภายในประเทศของเรา เราจะให้เครดิตภาษีแก่สินค้าที่ตีตรา 'Made in America' และเราจะนำตำแหน่งงานกลับคืนสู่สหรัฐ ขณะเดียวกันเราจะเรียกเก็บภาษีบริษัทที่ออกไปสร้างงานในจีนและในประเทศอื่น ๆ หากบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถทำธุรกิจในสหรัฐได้ ก็ปล่อยให้พวกเขาเสียภาษีก้อนใหญ่เพื่อจะออกไปสร้างงานในต่างประเทศ และส่งสินค้ากลับมาขายในประเทศเรา" ทรัมป์กล่าว

"นโยบายของโจ ไบเดน คือ "Made in China" แต่นโยบายของผมคือ "Made in USA" ทรัมป์ประกาศในที่ประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่า เขาจะสร้างอนาคตอันสดใสของอเมริกาในอีก 4 ปีข้างหน้า และจะทำให้พื้นที่ชายแดนของสหรัฐมีความปลอดภัยมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน" ทรัมป์กล่าวในการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน

 

"จะไม่มีชาวอเมริกันคนใดปลอดภัยภายใต้การบริหารของไบเดน" ทรัมป์แขวะไบเดนก่อนจบสุนทรพจน์

ดีเบตยกแรก \"ทรัมป์ VS ไบเดน\" ใครนำ ใครตาม รอลุ้นแมทช์หยุดโลกเช้า 30 ก.ย.

ทางฟากของไบเดนนั้น คำกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ก็เต็มไปด้วยพลังไม่แพ้กัน โดยไบเดนให้คำมั่นสัญญาว่า เขาจะเยียวยาสหรัฐอเมริกาที่บอบช้ำอย่างหนักจากผลกระทบของโควิด-19 รวมทั้งเศรษฐกิจที่เผชิญกับหายนะ ด้วยการรวมชาวอเมริกันให้เป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากนี้ ไบเดนยังให้สัญญาว่า เขาจะทำงานหนักเพื่อชาวอเมริกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้สนับสนุนเขา

 

"ผมขอให้คำมั่นสัญญากับพวกท่านว่า หากท่านไว้วางใจให้ผมทำหน้าที่ประธานาธิบดี ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ผมจะนำแสงสว่างมาสู่อเมริกา ไม่ใช่ความมืดมน" ไบเดนกล่าว

 

ไบเดนใช้เวทีการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตพูดถึงทรัมป์ว่า ทรัมป์จะทำให้สหรัฐอเมริกาตกอยู่ในความเกลียดชังและความหวาดกลัวหากเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำอีกสมัย และยังกล่าวด้วยว่า ทรัมป์ประสบความล้มเหลวในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย การแข่งขันกันเองภายในชาติ และการดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งแวดล้อม

 

"ประธานาธิบดีคนปัจจุบันล้มเหลวในการทำหน้าที่ที่เป็นพื้นฐานที่สุด เขาล้มเหลวในการปกป้องเรา" ไบเดนกล่าว               

ทำนายผลเลือกตั้งเดือนพ.ย.: ไบเดนเต็งหนึ่ง แต่ทรัมป์มีลุ้น

ผลสำรวจของโพลหลายสำนักบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า ไบเดนกำลังมีคะแนนนำทรัมป์ ยกตัวอย่างเช่น ผลสำรวจความคิดเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2,433 รายของสำนักข่าวซีบีเอสซึ่งจัดทำขึ้นร่วมกับบริษัทยูโกฟ (YOUGOV) บ่งชี้ว่า ไบเดนได้รับเสียงสนับสนุน 52% ทิ้งห่างทรัมป์ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุน 42%

ดีเบตยกแรก \"ทรัมป์ VS ไบเดน\" ใครนำ ใครตาม รอลุ้นแมทช์หยุดโลกเช้า 30 ก.ย.

ขณะที่ผลสำรวจไตรมาสล่าสุดบ่งชี้ว่า 75% ของผู้บริหารบริษัทภาครัฐและเอกชนขนาดใหญ่ทั่วโลกซึ่งเป็นสมาชิกของ CNBC Global CFO Council ต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ไบเดนจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.นี้

 

อย่างไรก็ดี มาร์โค โคลาโนวิก นักวิเคราะห์ของบริษัทเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค กล่าวว่า นักลงทุนควรเผื่อใจไว้บ้างว่า ทรัมป์อาจจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อดูจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่มีการเลือกตั้งในปี 2559 ซึ่งในเวลานั้น ฮิลลารี คลินตัน ชนะคะแนนสนับสนุนจากประชาชน (popular vote) หลายล้านคะแนน แต่คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ของแต่ละรัฐกลับเป็นผู้ชี้ขาดผลการเลือกตั้ง และลงเอยด้วยการสนับสนุนให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปีดังกล่าว

 

ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งสหรัฐ มักมีผู้เชี่ยวชาญออกมาทำนายทายทักกันตามธรรมเนียม ไม่เว้นแม้แต่มาร์ค โมเบียส เซียนหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่ออกมาร่วมวงแสดงความเห็นแบบเบาๆ ว่า หากไบเดนชนะการเลือกตั้ง ก็จะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดทั่วโลกรวม ซึ่งสวนทางกับความเห็นของร็อบ ซับบาราแมน หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกของบริษัทโนมูระที่มองว่า หากไบเดนคว้าชัยในการเลือกตั้ง ก็จะเป็นผลดีต่อภูมิภาคเอเชีย

 

สำหรับคำทำนายที่สร้างความฮือฮามากที่สุดเป็นของ อัลลัน ลิชท์แมน นักเขียนและศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกันที่ฟันธงว่า ไบเดนจะคว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปีนี้ โดยลิชท์แมนผู้นี้ มีชื่อเสียงจากการทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐถูกทุกครั้งนับแต่ปี 2527 รวมถึงเป็นหนึ่งในนักวิเคราะห์ไม่กี่คนที่ทำนายว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2559 ด้วย

                                      

ในช่วงเช้าวันพุธนี้ 08.00 น.ตามเวลาไทย เราจะได้รับชมพร้อมกันทั่วโลกว่า วาทกรรมทางการเมืองของทรัมป์จะยังเผ็ดร้อนเหมือนกับการดีเบตเมื่อ 4 ปีที่แล้วหรือไม่ และไบเดนจะสามารถต้านทานผู้เจนเวทีอย่างทรัมป์บนเวทีดีเบตครั้งนี้ได้หรือไม่