นายนัฟทาลี เบนเนตต์ นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ได้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อหารือเกี่ยวกับ โรคโควิด-19 ในเมืองเทลอาวีฟเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (16 ก.ค.) หลังจากที่ อิสราเอล ซึ่งเคยนำหน้าประเทศอื่นๆ ใน การฉีดวัคซีน ให้กับประชาชนได้ถึง 61% ของประชากรทั้งประเทศด้วย วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์-บิออนเทค แต่ปัจจุบันกลับต้องเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ทะยานสูงขึ้น โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (15 ก.ค.) อัตราการติดเชื้อโควิด-19 อยู่ที่ 1.52% ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2564 และรัฐบาลอิสราเอลเปิดเผยว่า ณ วันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา วัคซีนของไฟเซอร์-บิออนเทคมีประสิทธิภาพ 64% ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
"ในขณะนี้มีความคิดที่แพร่กระจายในวงกว้างว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในขณะนี้ในการป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตานั้น อยู่ในระดับต่ำกว่าที่เราคาดหวังไว้ เราไม่ทราบแน่ชัดว่าวัคซีนจะช่วยได้ในระดับใด แต่ก็น้อยกว่าที่เราคาดหวังไว้มาก ทุกคนต่างก็หวังว่าจะเห็นการติดเชื้อชะลอตัวลง แต่ข้อเท็จจริงในขณะนี้คือไม่มีการชะลอตัวลง” ผู้นำของอิสราเอลกล่าว และย้ำว่าการชะลอตัวของการติดเชื้อโควิดนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นในอิสราเอล และยังไม่ได้เกิดขึ้นที่ใดในโลก
กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลระบุว่า วัคซีนไฟเซอร์-บิออนเทคมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตา ขณะที่รัฐบาลกำลังรับมือกับการติดเชื้อที่พุ่งขึ้นอีกครั้ง โดยข้อมูลใหม่จากรัฐบาลอิสราเอลบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีน 2 โดสสามารถป้องกันการติดเชื้อได้เพียง 64% อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเกิดอาการรุนแรงนั้น นับว่ายังอยู่ในระดับสูงที่ 93%
ปัจจุบัน การติดเชื้อโควิดในผู้ป่วยรายใหม่ของอิสราเอลนั้น พบว่ามากกว่า 90% เป็นโควิดสายพันธุ์เดลต้า
นายเบนเนตต์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอลยังได้กล่าวถึงวิกฤตการณ์ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่างก็ใช้วัคซีนของไฟเซอร์ และกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นของไวรัสสายพันธุ์เดลตาเช่นเดียวกัน ขณะที่ในอิสราเอลนั้น ไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้แพร่ระบาดจนเป็นสายพันธุ์หลักในอิสราเอลแล้ว
ผู้นำอิสราเอลย้ำถึงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่พึงตระหนักก็คือ ไวรัสสายพันธุ์เดลต้ากำลังระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศที่ประชาชนจำนวนมากได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล