กรณีที่ร่างสัญญาการต่ออายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 รวมทั้งส่วน D และทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ดจะหลุดเข้าไปเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบคงจะไม่ง่ายเหมือนอ้อยเข้าปากช้างซะแล้วเมื่อมีการลุกฮือต่อต้านจากเหล่าพนักงานในนามกลุ่มสหภาพการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ที่ผนึกกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กันอย่างเหนียวแน่น
แม้ว่าศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินให้กทพ.ต้องจ่ายค่าโง่ก้อนแรกจำนวน 4,318 ล้านบาทแต่ยังมีอีกหลายคดีที่ยังอยู่ในการพิจารณาของศาลและอนุญาโตตุลาการซึ่งหากติต่างเอาเป็นว่ากทพ.แพ้คดีทั้งหมดจะต้องจ่ายเงินที่หลายฝ่ายเรียกว่า “ค่าโง่ทางด่วน” คิดเป็นเงินกว่า 1.3 แสนล้านบาทให้บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(BEM)
ยิ่งไปกว่านั้นล่าสุดนายบัณฑิต พรึงลำภู เลขาธิการสร. กทพ. ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ทำเอาทั้งศาล รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้หนาวๆร้อนๆกันเป็นแถวว่าข้อมูลที่คณะกรรมการนำไปพิจารณานั้นยังมีความไม่ชอบมาพากลในหลายประเด็น โดยเฉพาะกรณีไม่ได้รับการตรวจการจ้างจากกทพ.อย่างเสร็จสมบูรณ์
ประการสำคัญกรณีที่จะบรรเทาความเสียหายให้กับกทพ.ได้นั้นยังเป็นสิ่งเคลือบแคลงใจให้กับอีกหลายฝ่ายที่เมื่อมองอย่างไรเอกชนจะได้ประโยชน์มาก กว่ากทพ.ทั้งขึ้นทั้งล่อง เมื่อรัฐบาลประเคนการต่ออายุสัมปทานให้กับ BEM ได้อีก 30 ปี ซึ่งเมื่อมีการลงรายละเอียดทางบัญชีจะส่งผลให้กทพ.รับภาระหนี้พร้อมดอกเบี้ยก้อนโตในชั่วข้ามคืนทันที
เบื้องต้นนั้นมูลค่าความเสียหายโครงการนี้เห็นภาพชัดบ้างแล้วและยังจะเกิดขึ้นตามมาอีกหลายคดี เริ่มจากที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินแล้ว 4,318 ล้านบาท ยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด 6,332 ล้านบาท ยังอยู่ในการพิจารณาศาลปกครองกลาง 7,226 ล้านบาท ส่วนที่อนุญาโตตุลาการตัดสินให้ BEM ชนะแล้ว 12,050 ล้านบาท ส่วนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาโตตุลาการ 35,986 ล้านบาท แล้วยังมีส่วนคดีที่เตรียมยื่น ต่ออนุญาโตตุลาการอีก 75,437 ล้านบาท ซึ่งนายสุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำการแทนผู้ว่าการ กทพ. กล่าวต่อหน้าสร.กทพ.ในการประชุมบอร์ดกทพ.ครั้งล่าสุดว่าหากมีการต่อสัญญาจะกำหนดเงื่อนไขว่าให้ยกเลิกส่วนที่เป็นคดีฟ้องร้องต่อกันทั้งหมด และไม่ให้เป็นการแข่งขันต่อกันอีกต่อไป
นอกจากนั้นในการชำแหละคดีค่าโง่ในครั้งนี้ยังได้รับแรงกดดันจากหลายฝ่ายให้รัฐบาลไม่เร่งรีบนำเข้าสู่การพิจารณาในครม.เนื่องจากต้องการทำให้โปร่งใสตรวจสอบได้จริงทุกขั้นตอนตามที่หลายฝ่ายเคลือบแคลงสงสัยว่าเอื้อเอกชนจริงหรือนำโดยนพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่เป็นแกนนำร่วมกับสมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายแก้วสรร อติโพธิ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ฯลฯ ที่พร้อมอภิปรายให้ประชาชนเห็นไส้ลึกๆของการหมกเม็ดรายละเอียดในการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอันนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดี “ค่าโง่ทางด่วน” ต่อกันมาจนถึงวันนี้
หน้า 12 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3484 ระหว่างวันที่ 4 - 6 กรกฎาคม 2562