นายสมชาย สิริปัญญานนท์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer: OEM) เปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในภาคอุตสาหกรรม มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
แม้เผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 (COVID-19) โดยพบว่า ผลิตภัณฑ์ป้ายแสดงราคาสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกมีอัตราการขยายตัวโดดเด่น หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 21.2% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 2,037 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีมูลค่าตลาด 690 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ SVI ประสบความสำเร็จในการผลิตอุปกรณ์ป้ายแสดงราคาสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ให้แก่ผู้ประกอบการค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ต้องการโฟกัสและขยายตลาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มยุโรปและเอเชียแปซิฟิก
โดยอุปกรณ์ดังกล่าวเข้ามาช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนแรงงานคนในการปรับเปลี่ยนป้ายราคาสินค้า อีกทั้งยังสร้างความยืดหยุ่นในการกำหนดราคาสินค้าในแต่ละช่องทางการจัดจำหน่าย สอดรับพฤติกรรมการซื้อสินค้าในแต่ละช่วงเวลา หรือทำโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายได้แบบเรียลไทม์ ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการด้านสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ดี SVI จะใช้จุดแข็งจากการมีศูนย์วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีกระบวนการผลิตชั้นสูงและความเชี่ยวชาญของบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยจะร่วมมือกับลูกค้า ตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ การบริหารจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพและการใช้วัตถุดิบที่เอื้อต่อขีดความสามารถการแข่งขัน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้ายแสดงราคาสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ช่วยตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในการกำหนดราคาสินค้า ณ จุดขาย พร้อมใช้ความได้เปรียบด้านฐานที่ตั้งในประเทศไทยเพื่อส่งอออกสินค้าไปยังในทวีปเอเชียแปซิฟิกและยุโรป
“ป้ายแสดงราคาสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ เป็นกลุ่มอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้รับความนิยมใช้แพร่หลายในกลุ่มค้าปลีกที่ต้องการยกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า ทั้งในกลุ่มห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านเฟอร์นิเจอร์ ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านเสื้อผ้า เป็นต้น จึงเป็นโอกาสของเราในการรุกตลาดดังกล่าว โดยใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญและฐานการผลิตที่เอื้อต่อการแข่งขันเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก โดยตั้งเป้าว่าเพิ่มสัดส่วนการขายเป็น 12-15% ภายในสิ้นปีนี้ จากปีก่อนที่มีสัดส่วนการขายเพียง 3% ของยอดขายรวม”