ครม.เคาะหมื่นล้าน "ประกันรายได้ยางพารา" กว่า 1.8 ล้านราย

03 พ.ย. 2563 | 09:02 น.

ครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางระยะที่ 2 ตามหลักเกณฑ์เดิม ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกว่า 1.8 ล้านราย พร้อม 4 โครงการคู่ขนาน

วันที่ 3 พ.ย. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ว่า ครม. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2  วงเงิน 10,042 ล้านบาท เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ครอบคลุมเกษตรกรชาวสวนยางกว่า 1.8 ล้านราย พื้นที่ปลูกยางพารากว่า 18 ล้านไร่ ดังนี้

 

 ประกันรายได้ยาง 3 ชนิด 

  • ยางแผ่นดิบคุณภาพดี  ราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม
  • น้ำยางสด (DRC 100%)  ราคา 57 บาทต่อกิโลกรัม
  • ยางก้อนถ้วย (DRC 50%)  ราคา 23 บาทต่อกิโลกรัม

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 กำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ ดังนี้

  • ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) จำนวนไม่เกิน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน
  • ผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จำนวนไม่เกิน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน

 

เงื่อนไขเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ

  • ต้องขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)
  • เป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดยางไปแล้ว
  • รายละไม่เกิน 25 ไร่
  • มีสัดส่วนแบ่งรายได้ระหว่างเจ้าของ 60% และคนกรีดยาง 40%

ระยะเวลาโครงการ

  • เดือนกันยายน 2563 - กันยายน 2564 (ประกันรายได้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - 1 มีนาคม 2564)

 

ทั้งนี้ ราคายางยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในช่วงที่ผ่านมา ขยับเกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย ซึ่งรัฐบาลจะพยายามรักษาระดับราคายางพาราให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป

นอกจากนี้ ครม. ยังได้อนุมัติ 4 โครงการคู่ขนานตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

 

1.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโรคโควิด-19 และช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางขายไม้ยางพาราได้ในราคาที่เป็นธรรม รวมถึงสนับสนุนการลดพื้นที่ปลูกยางพารา โดยธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี แต่ไม่เกิน 600 ล้านบาท และมีค่าบริหารจัดการโครงการ 4 ล้านบาท

 

ส่วนเป้าหมายของโครงการมีดังนี้ (1)ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ร้อยละ 80 (2)กระตุ้นการโค่นยาง จำนวน 400,000 ไร่ และดูดซับไม้ยางจากการโค่น จำนวน 12 ล้านตัน และ (3)ราคาไม้ยางที่คาดหวังเฉลี่ย 1,300 บาทต่อตัน ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2565

 

2.โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง เป็นการขยายเวลาชำระคืนเงินกู้ทั้งสองโครงการให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย

 

(1) ขยายเวลาชำระคืนเงินกู้ออกไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากเดิมวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1

 

(2)นำเงินจากการระบายยางในสต็อกและของบประมาณชดเชยการขาดทุนชำระคืนเงินกู้ ธ.ก.ส. วงเงินรวมทั้งสองโครงการ จำนวน 9,955.32 ล้านบาท และ (3) ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย ค่าจ้างผลิตยาง และอื่น ๆ รวม 898.76 ล้านบาท

 

3.โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง (วงเงินเดิม) วงเงินรวม 25,000ล้านบาท เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการ ดังนี้

 

(1) ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ (สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) ได้ทุกธนาคาร จากเดิม เฉพาะธนาคารพาณิชย์

 

(2) ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อทุก 1ล้านบาท จะต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศเป็น 2 ตันต่อปี ในปีการผลิต 2563 เดิมที่กำหนดในปีที่ 1 - 2 ของการลงทุน ต้องเพิ่มเป็น 2 ตันต่อปี ส่วนปีที่ 3 เป็น 4 ตันต่อปี) และ

 

(3) ให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตรวจสอบการใช้ยางของผู้ประกอบการเป็นรายปี ในปีการผลิต 2563 จากเดิมที่กำหนดเป็นรายเดือน โดยใช้วงเงินเดิมของโครงการ ซึ่งที่ผ่านมาได้อนุมัติสินเชื่อให้ผู้ประกอบการไปแล้ว 14,038.20 ล้านบาท วงเงินโครงการคงเหลือ 10,961.80 ล้านบาท

 

4.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) เป็นการเพิ่มกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 โดยใช้วงเงินเดิมของโครงการ วงเงิน 20,000 ล้านบาท  ซึ่งกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในตลาด

 

หากไม่มีการซื้อยางก็จะไม่ได้รับการชดเชยในเดือนนั้น โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 – ธันวาคม 2564 ส่วนกิจกรรมที่มีอยู่เดิมของโครงการ คือ ผู้เข้าร่วมจะต้องมีสต็อกยางเพิ่มขึ้นมากกว่าสต็อกเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี หากเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจพบว่ามีปริมาณสต็อกน้อยกว่าหรือเท่ากับสต็อกเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี จะไม่ได้รับการชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี จากรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 4 ราย อนุมัติวงเงินสินเชื่อ 2,410 ล้านบาท มีปริมาณที่จัดเก็บตามโครงการ 75,692 ตัน จากเป้าหมาย 350,000 ตัน