จากที่คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีมติ 4:3 เสียง อนุญาตให้บริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้น จำกัด สามารถควบรวมธุรกิจกับบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัดได้ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์์วิจารณ์จากหลายฝ่ายเกรงจะทำให้เครือซีพีมีอำนาจเหนือตลาด และผูกขาดการค้าปลีก-ค้าส่งของประเทศ และอาจกระทบซัพพลายเออร์ คู่แข่งขัน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้บริโภคในวงกว้างในอนาคตนั้น
นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (ประธานบอร์ด กขค.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ต้องยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ที่อนุญาตให้มีการควบธุรกิจโดยมี 7 เงื่อนไขให้ทางเครือซี.พีไปปฏิบัติ ซึ่งทางกขค.ได้แจ้งคำสั่งการอนุญาตควบรวมธุรกิจไปให้ทางเครือซี.พี.แล้ว หากไม่เห็นด้วยก็มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ในสัปดาห์หน้ากรรมการแข่งขันจะหารือกันถึงการจัดทำรายละเอียดคำวินิจฉัยกลางต่อเรื่องดังกล่าว
โดยจะดูจากรายงานการประชุมที่ผ่านมาว่าทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการควบรวมธุรกิจมีเหตุผลอย่างไรเพื่อนำมาเขียนคำวินิจฉัยกลางในภาพรวมๆ หรืออาจเป็นคำวินิจฉัยของกรรมการทั้ง 7 คน ซึ่งจะได้คุยกันต่อไป ทั้งนี้เมื่อคำวินิจฉัยแล้วเสร็จแล้วจะได้เรื่องให้กับเครือซี.พี. รวมถึงเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกขค. เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนในทุกช่องทางเพื่อรับทราบต่อไป คาดจะเผยแพร่ได้ใน 2 สัปดาห์นับจากนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ค้าปลีกเดือด “ธนินท์-เจริญ” เปิดศึก สาดสงครามราคา-โชห่วยกระอัก
กขค.เสียงข้างน้อย ชี้เหตุค้านควบโลตัส ห่วงกระทบหนักค้าปลีกรายย่อย
บีบCPรับเงื่อนไข ควบรวมโลตัส ห้ามเก็บค่าต๋งเพิ่ม
สูตร HHI วัด “ซีพีซื้อโลตัส” เข้าเกณฑ์ผูกขาด
นายสกนธ์ กล่าวว่า การควบรวมธุรกิจครั้งนี้ถือเป็นดีลประวัติศาสตร์และเป็นกรณีศึกษาไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่รวมถึงทั่วโลก ที่ผ่านมามีสื่อต่างประเทศติดต่อสอบถามตนเข้ามามาก ขณะที่มีนักการเมืองบางคนมากล่าวหาว่าทางคณะกรรมการรับเงินเพื่อช่วยเหลือในการอนุญาตควบรวม ทำให้ตนรู้สึกไม่ดี เพราะตลอดชีวิตรับราชการและทำงานด้านวิชาการมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่ก็ไม่อยากฟ้องร้อง
ด้านแหล่งข่าวจากคณะกรรมการแข่งขันฯเสียงข้างมากที่เห็นชอบให้เครือซี.พี.ควบรวมธุรกิจกับเทสโก้โลตัสในครั้งนี้กล่าวว่า การอนุญาตควบรวมเป็นแบบมีเงื่อนไข 7 ข้อให้ผู้ประกอบธุรกิจไปปฏิบัติ หากไม่เห็นด้วยกับข้อใดข้อหนึ่งก็ให้ฟ้องศาลปกครอง ทั้งนี้การอนุญาตควบรวมมีเหตุผลหลักจากแม้จะทำให้ผู้ประกอบการมีอำนาจเหนือตลาดเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถือเป็นการผูกขาดทางธุรกิจ เพราะมีผู้เล่นในตลาดหลายราย อย่างไรก็ดีในอนาคตหากการควบรวมนำไปสู่การเอาเปรียบคู่ค้า ผู้บริโภค และปิดกั้นคู่แข่งขัน ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถร้องเรียนและนำหลักฐานให้กรรมการแข่งขันสืบสวนและสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดและลงโทษได้ รวมถึงหากมีผลให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็สามารถร้องเรียนกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและเอาผิดได้
อย่างไรก็ดีการควบรวมกิจการของซี.พี. และเทสโก้ โลตัสในครั้งนี้จะส่งผลให้อาณาจักรค้าปลีกของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ มีรายได้รวมกว่า 9.70 แสนล้านบาท จากเซเว่นอีเลฟเว่น 5.71 แสนล้านบาท แม็คโคร 2.10 แสนล้านบาท และเทสโก้ โลตัส 1.88 แสนล้านบาท ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของค้าปลีกเมืองไทย แซงหน้าทั้งกลุ่มของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่มีบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เอเชียทีคฯ ฯลฯ รวมถึงกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีทั้งเซ็นทรัล โรบินสัน ท็อปส์ ฯลฯ ด้วย
หน้า 01 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,627 วันที่ 15 - 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563