นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการสายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 63 ว่า แนวโน้มตลาดยังไปต่อได้ แต่จะฟื้นตัวช้าๆ อย่างเร็วที่สุดในปี 66 หรืออีก 3 ปีถึงจะกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งในความเป็นจริงอสังหาฯเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่หลายปีก่อน ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภค การกู้เงินมาซื้อก็ทำได้ยากขึ้น ผู้ประกอบการก็ต้องแข่งขันกันมากขึ้น
ทั้งนี้ ที่สำคัญปีนี้ต้องมาเจอกับสถานการณ์โควิด -19 ที่เข้ามากระทบทุกด้าน ซึ่งหลังจากคลายล็อกดาวน์เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะดีเวลลอปเปอร์เริ่มกลับมาทำโปรโมชั่นกระตุ้นการขายอย่างต่อเนื่อง เน้นระบาย Stock ที่อยู่อาศัยในระดับราคาปานกลาง ถึงแม้ที่ผ่านมาจะชะลอการเปิดโครงการใหม่
อย่างไรก็ดี ทิศทางที่น่าสนใจคือในปีนี้ดีเวลลอปเปอร์หันมาเปิดโครงการ “แนวราบ” มากขึ้น โดยเฉพาะทาวน์โฮมเพื่อเน้นกลุ่มเรียลดีมานด์เป็นหลัก รวมทั้งเปิดโครงการระดับราคาที่ถูกลง เน้นตลาดราคาไม่สูง (affordable) มากขึ้น เช่นเดียวกับทางบริษัทเสนามีการจัดแคมเปญ “หยุดที่โปรนี้” เพื่อช่วยกระตุ้นการขายช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 63 ด้วยเช่นกัน
ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/63 ของบริษัทและบริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุน มีรายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวม 1.77 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 พันล้านบาท หรือคิดเป็น132.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์รวม 758.7 ล้านบาท และยังมีรายได้จากธุรกิจเช่า บริการ เท่ากับ 245.3 ล้านบาท ลดลง 24.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และมีรายได้จากธุรกิจโซลาร์ (EPC) 2.6 ล้านบาท ลดลง 83.9 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันจากปีก่อน และสำหรับ 9 เดือนของปี 63 มียอดโอนกรรมสิทธิ์รวมสะสม 4.41 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.29 พันล้านบาท หรือคิดเป็น108.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์สะสมรวม 2.11 พันล้านบาท โดยส่วนของยอดขาย 9 เดือนของปี 63 อยู่ที่ 4.56 พันล้านบาท
หากมองในภาพรวมความสามารถการทำรายได้ของกลุ่มบริษัทและบริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุน จะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.04 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 904 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 78.97% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.14 พันล้านบาท โดยในไตรมาสนี้ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 278.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28.2% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นเท่ากับ 166.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 148.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 112.1 ล้านบาท
“กำไรสุทธิที่เติบโตในช่วงดังกล่าว มาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการทยอยโอนของโครงการร่วมทุน 2 โครงการ คือ นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/62 และในไตรมาส 3 / 63 เริ่มมียอดโอนของโครงการ นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ ทำให้บริษัทสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนอยู่ที่ 86.8 ล้านบาท”
นางสาวอธิกา กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าขายแล้วรอโอน (Backlog) จำนวน 1.01 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ 4.66 พันล้านบาท โดยมียอดรอโอนจากโครงการร่วมทุน 3 โครงการเป็นหลัก มูลค่าประมาณ 3,736 ล้านบาท ประกอบด้วย นิช โมโน สุขุมวิท- แบริ่ง ,นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ และ นิช โมโน เจริญนคร และยอดรอโอนจากโครงการ บมจ.เสนา รวมมูลค่าประมาณ 933 ล้านบาท ทั้งนี้มีสินค้าคงเหลือขาย 2.35 หมื่นล้านบาท (ณ วันที่ 30 กันยายน 2563)
สำหรับในปี 63 นอกจากทางเสนาจะเน้นโครงการแนบราบแล้ว ยังหันมาโฟกัสคอนโดฯต่ำล้าน ภายใต้แบรนด์คอนโดน้องใหม่ “เสนา คิทท์” เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่แท้จริง โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน หรือ first jobber ที่ต้องการซื้อคอนโดเป็นสินทรัพย์แรกของชีวิต และเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และกำลังซื้อในปัจจุบัน โดยไตรมาส 4 /63 มีการเปิดใหม่ทั้งสิ้น 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 1.61 พันล้านบาท ประกอบด้วย
1.เดอะ คิทท์ พลัส พหลโยธิน – คูคต (เฟส 2) มูลค่าโครงการ 414 ล้านบาท ,2.เสนา วีว่า เพชรเกษม - พุทธมณฑลสาย 7 มูลค่าโครงการ 604 ล้านบาท ,3.เสนา คิทท์ เทพารักษ์ – บางบ่อ มูลค่าโครงการ 343 ล้านบาท และ 4.โครงการ เสนา คิทท์ เอ็มอาร์ที-บางแค มูลค่าโครงการ 253 ล้านบาท
“ทั้งปีทางเสนามีการปรับแผนเปิดโครงการใหม่เหลือ 7 โครงการ รวมมูลค่า 3.12 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 1 เปิด 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 1.51 พันล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ นิช โมโน อิสรภาพ มูลค่าโครงการ 833 ล้านบาท ,2.โครงการ เดอะ คิทท์ รังสิต – ติวานนท์ มูลค่าโครงการ 490 ล้านบาท และ 3.โครงการ เสนา คิทท์ เพชรเกษม - พุทธมณฑล สาย 7 มูลค่าโครงการ 192 ล้านบาท”