นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 64 ว่า บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 550 ล้านบาท ประกอบด้วย การขยายสถานีจำหน่ายน้ำมัน หรือปั๊มน้ำมันเพิ่มอีก 20 สถานี รวมเป็น 260 สถานี โดยจะเน้นพื้นที่ภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก และหัวเมืองใหญ่ๆ ตามแหล่งชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงภาพลักษณ์ของสถานีเดิมอีก 50 แห่ง รวมถึงจะเพิ่มความสำคัญต่อธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil) มากขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานีบริการให้ครบวงจร โดยได้มีแผนการเพิ่มร้านสะดวกซื้อลอว์สัน 108 เพิ่มร้านกาแฟ Starbucks และ ดิโอโร่ รวมไปถึงเพิ่มพันธมิตรร้านอาหาร และร้านฟาสต์ฟูดเพิ่มขึ้นด้วย เช่น KFC, Subway และร้านอาหารประเภทข้าวแกงอีกหลายแห่ง
“ปัจจุบัน ซัสโก้ เปิดให้บริการร้านสะดวกซื้อ Lawson108 ในสถานีบริการน้ำมัน จำนวน 38 สาขา ปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มอีก จำนวน 10 สาขา ส่วนร้านกาแฟ Starbucks มีจำนวน 1 สาขา ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาราชพฤกษ์ โดยปีนี้ มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ได้แก่ สาขาหลานหลวง และสาขาศรีนครินทร์ 3 ในส่วนของ ร้านอาหารฟาสต์ฟูด KFC DRIVE- THRU มีจำนวน 1 สาขา ที่สถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาประชาอุทิศ1 เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก จำนวน 4- 5 สาขาภายในปีนี้”
ด้านการส่งเสริมการตลาดนั้น ซัสโก้ ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิก SUSCO Smart Member ที่ปัจจุบันมีสมาชิก 1.4 ล้านราย ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านราย ภายในปี 2564 โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซัสโก้ ได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ช่องทาง Line OA @SUSCO เพื่อความสะดวกในการใช้งานของผู้บริโภค ซึ่งมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าสมาชิก ด้วยการเพิ่มมูลค่า (Privilege) ต่างๆ ทั้งจากคู่ค้าในสถานีบริการ อาทิ Lawson108 รวมไปถึงคู่ค้าอื่นๆ
ส่วนแคมเปญการตลาด ช่วงไตรมาส 2 และ 3 มีแผนจัดกิจกรรมชิงโชค (Lucky Draw) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานีบริการโฉมใหม่ ภายใต้แนวคิด "SUSCO Fuel Your Day เติมพลังให้วันของคุณ " เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ในเมืองให้มากยิ่งขึ้น
นายชัยฤทธิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สัดส่วนรายได้ของบริษัทนั้น ธุรกิจน้ำมันยังเป็นรายได้หลัก ส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันยังมีสัดส่วนที่ไม่มาก โดยพยายามจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 100 ล้านบาทภายใน 3 ปี ส่วนแผนลงทุน 5 ปี (ปี 64-68) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาท โดยจะดำเนินการขยายปั๊มน้ำมันให้ได้ 300 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งเป็นไปตามแผนเดิมที่ต้องถูกชะลอลงเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 (Covid-19) ดังนั้น ปีนี้จึงพยายามจะเร่งให้ได้ 260 แห่ง และภายใน 2-3 ปีก็น่าจะได้ตามเป้า
ขณะที่แนวโน้มการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า หรือ “อีวี” (EV) ที่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นนั้น ปัจจุบันบริษัทมีสถานีชาร์ตประจุไฟฟ้าสำหรับรถอีวี (EV Charging) ให้บริการ 22 สาขา โดยมีแนวโน้มขยายเพิ่มสาขาในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลอีก 10 สาขา สำหรับรถยนต์กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) และรถยนต์ที่ใช้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า หรือไฮบิด (PHEV) คาดว่าใน 2564 นี้จะมียอดขายประมาณ 4 – 5 หมื่นคัน หรือขยายตัวประมาณ 20% ของรถทั้งหมด ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักของตลาด BEV ในอนาคต คือ การที่ภาครัฐและเอกชนจะสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตลาด
“การใช้รถอีวี หากเทียบกับรถใช้น้ำมันก็คงไม่มากนัก เพราะด้วยสถานีชาร์ตและระยะทางที่รถจะวิ่งได้ยังมีจำนวนจำกัด แต่ก็คงมีการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายมใน 5-10 ปีจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ”