นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 100 ล้านบาทภายใน 3 ปี แม้ปัจจุบันธุรกิจดังกล่าวยังมีรายได้ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับธุรกิจน้ำมันซึ่งเป็นรายได้ของบริษัท โดยต้องเรียนว่าสถานีบริการน้ำมัน หรือปั๊มน้ำมันที่บริษัทจะขยายส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพมหานคร และปริมาณมณฑล ซึ่งคาดว่าในไตรมา 1-2 จะสามารถเปิดให้บริการเพิ่มได้อีก 10 แห่ง โดยทุกแห่งจะมีการให้บริการแบบครบวงจร แม้จะมีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มาก
“หากถามว่าปี 64 บริษัทจะหันมามุ่งเน้นการทำธุรกิจ Non-Oil อย่างเต็มที่หรือไม่ ต้องเรียกว่าเป็นโอกาส เพราะทางพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทก็มองเห็นช่องทาง และพยายามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายจากห้างสรรพสินค้ามาสู่ปั๊มน้ำมันมากขึ้น เพราะจากเหตุการณ์ล็อกดาวน์ (Lock Down) ทำให้เห็นว่าปั๊มน้ำมันยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ไม่ได้ถูกปิดเหมือนห้างสรรพสินค้า และก็ไม่มีผู้ใดที่จะบอกได้อย่างชัดเจนได้ว่าเชื้อโควิด-19 (Covid-19) จะหมดไปเมื่อใด”
อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ซัสโก้ เปิดให้บริการร้านสะดวกซื้อ Lawson108 ในสถานีบริการน้ำมัน จำนวน 38 สาขา โดยปีนี้คาดว่าจะเพิ่มอีกจำนวน 10 สาขา ส่วนร้านกาแฟ Starbucks มีจำนวน 1 สาขา ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาราชพฤกษ์ โดยปีนี้มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ได้แก่ สาขาหลานหลวง และสาขาศรีนครินทร์ 3 ส่วนร้านอาหารฟาสต์ฟูด KFC DRIVE- THRU มีจำนวน 1 สาขา ที่สถานีบริการน้ำมันซัสโก้ สาขาประชาอุทิศ1 เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก จำนวน 4- 5 สาขาภายในปีนี้
ส่วนทิศทางการจำหน่ายน้ำมันในไตรมาส 1/64 นั้น ต้องเรียนว่าช่วงต้นปีถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการทำธุรกิจ แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้ยอดขายน่าจะลดลง จากนโยบายการลดการเคลื่อนย้ายประชาชนของรัฐบาล ทำให้มีการเดินทางน้อยลง อย่างไรก็ดี หลังจากเดือนมกราคมแล้วคงต้องมีการประเมินกันอีกครั้งหนึ่งว่าจะเป็นอย่างไร
“การมีนโยบายให้ทำงานที่บ้าน (Work From Home : WFH) แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อยอดขายน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากมองอีกมุมหนึ่งก็จะเป็นการทำให้ผู้ที่ใช้รถสาธารณะหันกลับมาใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น ซึ่งก็น่าจะช่วยให้เกิดการสมดุล”
นายชัยฤทธิ์ กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกนั้น ช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทคาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้นจึงคาดว่าราคาน้ำมันอาจจะปรับเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากกลุ่มโอเปกมีความร่วมมือกันได้ด้วยดีในการลดกำลังการผลิต อีกทั้งการมีวัคซีนโควิด-19 ก็ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัว ดังนั้น เมื่อมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นแต่ปริมาณมีจำกัดจะส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลา 5 ปี (64-68) บริษัทมีแผนลงทุนโดยใช้งบประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อขยายปั๊มน้ำมันให้ได้ 300 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งเป็นไปตามแผนเดิมที่ต้องถูกชะลอลงเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ดังนั้น ปีนี้จึงพยายามจะเร่งให้ได้ 260 แห่ง และภายใน 2-3 ปีก็น่าจะได้ตามเป้า