นายสุพันธ์ุ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการรประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้ดำเนินการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 หรือจีดีพี เป็นขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% ถึง 3.0% จากเดิมซึ่งคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-3.5% โดยประมาณการดังกล่าวนี้ขึ้นอยู่กับการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายและมาตรการของรัฐที่มีขนาดกว่า 2 แสนล้านบาทที่จะเข้ามาเยียวยาเศรษฐกิจ โดยหากไม่มีเม็ดเงินดังกล่าว จีดีพีจะไม่ขยายตัวหรือเติบโต 0%
ด้านการส่งออก กกร. ปรับเพิ่มประมาณการการส่งออกในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 4-6% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1-1.2% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าน่าจะอยูที่ประมาณ 0.8-1%
ทั้งนี้ กกร. มองว่า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการระบาดระลอกใหม่ที่รวดเร็วและรุนแรง กระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าจะส่งผลดีต่อแนวโน้มส่งออกของไทยในระยะต่อไป
สำหรับการระบาดของโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายน หรือโควิด-19 ระลอกสาม นั้น คาดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างน้อย 3 เดือน โดยจะกระทบแผนการท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยและทำให้การกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศในช่วง 3 เดือนข้างหน้าทำได้ยากหรืออาจต้องเลื่อนออกไป รวมทั้งกระทบอย่างมากต่อกำลังซื้อเพราะแรงงานในภาคบริการต้องหยุดหรือลดชั่วโมงการทำงาน
ดังนั้น รัฐจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินที่มีกว่า 2 แสนล้านบาทเข้ามาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน (K-shape Recovery) โดยเฉพาะการประคับประคองกำลังซื้อในประเทศโดยรวม และการขยายระยะเวลามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานที่ยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรค
นอกจากนี้ การแจกกระจายวัคซีนโควิด-19 ต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งวัคซีนจะเป็นปัจจัยที่สร้างเสริมความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและประชาชนได้มากที่สุด และจะทำให้ภาพของอุปสงค์ในประเทศกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
นายสุพันธุ์ กล่าวต่อไปว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มมีทิศทางฟื้นตัวขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้าค่อนข้างมาก จากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงการฉีดวัคซีนที่ทำได้รวดเร็ว ซึ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้ภาพรวมเศรษฐกิจและการค้าโลกมีทิศทางฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่ประเมินไว้ สอดคล้องกับรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (IMF) ในเดือนเมษายน ที่ได้ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ว่าจะขยายตัว 6.0% ดีขึ้นเมื่อเทียบกับประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัว 5.5%
เศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัวดีขึ้น แม้หลายประเทศจะยังเผชิญวิกฤตโรคระบาด แต่เครื่องชี้ภาคการผลิตและอุปสงค์ต่างประเทศกลับสะท้อน Momentum ที่มีทิศทางดีขึ้นตามลำดับ สอดคล้องกับรายงานขององค์การการค้าโลก (WTO) ณ เดือนมีนาคม ที่ประเมินว่า ปริมาณการค้าโลก (World Merchandise Trade) ในปี 2564 จะขยายตัวได้ถึง 8.0% เมื่อเทียบกับประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัว 7.2% อันจะเป็นผลดีต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าการประเมินครั้งก่อนด้วยเช่นกัน
รวมไปถึงมุมมองต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและมูลค่าการนำเข้าของคู่ค้าหลักของไทยในปี 2564 ที่มีทิศทางดีขึ้นเมื่อเทียบกับการประเมินครั้งก่อน โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่นที่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ปัญหาขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้าและค่าระวางเรือที่ทรงตัวในระดับสูง รวมถึงต้นทุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นแรงกดดันสำคัญต่อความสามารถของผู้ส่งออกของไทยในระยะต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :