“สทนช.” ชงมาตรการควบคุมสารเคมีปนเปื้อนในน้ำ เหตุเพลิงไหม้โรงงานกิ่งแก้ว

06 ก.ค. 2564 | 13:50 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ค. 2564 | 20:51 น.

เลขา สทนช. ประชุมด่วน ชงมาตรการควบคุมสารเคมีปนเปื้อนในน้ำ เหตุเพลิงไหม้โรงงานกิ่งแก้ว พร้อมกับติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

 วันที่  6 ก.ค. 64 ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเข้าประชุมหารือร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเสนอมาตรการรองรับผลกระทบต่อเนื่อง จากเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานหมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Video Conference) ว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานหมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก ในซอยกิ่งแก้ว 21 อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 5 ก.ค. 64

 

ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง  จึงได้เข้าร่วมประชุมวาระเร่งด่วนในวันนี้ เพื่อเป็นการหารือถึงแนวทางและมาตรการเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบต่อเนื่องจากเหตุดังกล่าว ทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบ สภาพสังคม และที่สำคัญคือสภาพแวดล้อมที่หลายฝ่ายเป็นกังวลเกี่ยวกับสารเคมีที่อาจเกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำต่าง ๆ  โดยในการประชุมวันนี้ สทนช. ได้เสนอประเด็นเพิ่มเติมเพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

“สทนช.” ชงมาตรการควบคุมสารเคมีปนเปื้อนในน้ำ เหตุเพลิงไหม้โรงงานกิ่งแก้ว

 

โดยจะดำเนินการประสานกรมชลประทานปิดประตูระบายน้ำในคลองใกล้เคียงทั้งหมด เพื่อควบคุมและจำกัดการแพร่กระจายสารเคมีที่ปนเปื้อนในน้ำที่เกิดจากฝนและน้ำจากรถดับเพลิงเพื่อลดผลกระทบในวงกว้าง นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้กรมควบคุมมลพิษติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำในลำน้ำสาขาข้างเคียง และติดตามต่อเนื่องเป็นระยะ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน

 

“ที่ประชุมได้สรุปมาตรการ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย 1) ระยะเร่งด่วน มุ่งช่วยเหลือประชาชนในด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิต เช่น การตรวจสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งอาสาสมัครที่ลงพื้นที่ รวมถึงการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ และสำรวจความเสียหาย  ความปลอดภัยของสิ่งก่อสร้างที่อยู่อาศัย

 

2) ระยะกลาง เตรียมความพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงทบทวนและปรับปรุงระบบปฏิบัติงานตามแผนเผชิญเหตุภัยต่าง ๆ และ 3) ระยะยาว การเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการกำหนดเขตพื้นที่ (Zoning) ผังเมืองต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าว