แหล่งข่าววงการค้าเกษตร เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า รายงานสถานการณ์ตลาดชิคาโก หรือ Chicago Mercantile Exchang (CME) และ Chicago Board of Trade (CBOT) วันนี้ สภาวะอากาศที่เปียกชิ้นเพิ่มขึ้นทั้งในภาคกลางรวมไปถึงภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าจะทำให้การเก็บเกี่ยว “ข้าวโพด” “ถั่วเหลือง” ล่าช้าในช่วงปลายสัปดาห์นี้มีส่วนช่วยหนุนราคาในตลาด, ขณะที่การขายส่งออกค่อนข้างเงียบตั้งแต่เริ่มต้นของสัปดาห์นี้
“ข้าวโพด” สัญญาพลิกพุ่งขึ้น + 1.70% ด้วยรายงานการผลิตเอทานอลที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี โดยสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2564 มีปริมาณการผลิตเฉลี่ยที่ 1.096 ล้านบาร์เรลมากที่สุดนับแต่เดือน มิ.ย. 2019 เป็นต้นมา บ่งบอกถึงความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้น
ขณะที่มีข่าวว่า “จีน” กำลังหนุนให้ผู้ผลิตปุ๋ยเคมีเข้าถึงถ่านหิน ไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติและกำมะถัน เพื่อให้สามารถผลิตปุ๋ยให้เพียงพอใช้ในการเพาะปลูกฤดูต่อไป
“ถั่วเหลือง” สัญญาขยับขึ้นอีก +1.425% และปิดบวกเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันจากราคาน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อใช้ทั้งเป็นไบโอดีเซลและบริโภค อีกทั้งคาดการยอดขายส่งออกที่จะเผยแพในวันพรุ่งนี้จะมีปริมาณมากขึ้น, USDA คาดการณ์ว่าบราซิลจะปลูกถั่วเหลือง ปี 2021/22 ได้เพิ่มขึ้น อีก 37 ล้านบุชเชล
จากระดับ 5.291 ไปเป็น 5.327 พันล้านบุชเชล ด้วยมีการเพิ่มพื้นปลูกอีก 4% สู่ระดับ 100. ล้านเอเคอร์ จะทำให้บราซิลส่งออกถั่วเหลืองในปีหน้าได้เพิ่มขึ้นอีก 8% สู่ระดับ 3.38 พันล้านบูชเชล จากที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ 3.417 พันล้านบุชเชล
“ข้าวสาลี” สัญญาขยับขึ้นปิดบวก + 1.80% ด้วยค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงบวกกับความต้องการใช้ข้าวสาลีในตลาดโลกยังแข็งแกร่ง, “ยูเครน” เพิ่มโควตาส่งออกข้าวสาลีปี 2021/22 อีก 44% จากปี 2020/21 ขึ้นสู่ระดับ 929.6 ล้านบุชเชล (25.3 ล้านต้น), “จอร์แดน” เสนอซื้อ milling wheat 2.2 ล้านบุชเชล optional origin ส่งมอบต้นเดือน ม.ค. 2022, “รัสเซีย” เสนอชายข้าวสาลี 2.2 ล้านบุชเชลให้กับแอลจ๊เรีย ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับแต่ปี 2016 เป็นต้นมา โดยแอลจีเริยจะเสนอซื้อข้าวสาลีผ่านฝรั่งเศสเสมอมา
"เงินดอลลาร์" อ่อนค่าลงเทียบเงินสกุลหลัก นักลงทุนขายเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินที่ปลอดภัยออกไปในช่วงก่อนปัดตลาด เพื่อไปลงทุนในสกุลเงินที่มีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า, "เงินปอนด์" แข็งค่าขึ้นต่อจากเมื่อวานนี้ หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) ส่งสัญญานจะขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือน พ.ย.นี้
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.65% จากคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรในโครงการ E และมีแนวโน้มจะขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,609.34 จด เพิ่มขึ้น + 152.03 จุด หรือ +0.43%,
ดัชนี S&P500 ปีดที่ 4,536.19 จุด เพิ่มขึ้น+16.56 จุด หรือ +0.37% และดัชนี NASDAQ ปีดที่ 15,121.68 จุด ลดลง -7.41 จุด หรือ -0.05% ดัชนีดาวโจนส์ปีดบวกเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ด้วยหุ้นกลุ่มธุรกิจบล็อกเชนพุ่งขึ้นจากราคา Bitcoins พุ่งทะลุ 66,000 ดอลลาร์
นักลงทุนสนใจลงทุนบิตคอยน์มากกว่าทองคำในการประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อมากขึ้น, ส่วนดัชนี S&P500 ปัดบวกเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดตัวลงในแดนลบ ด้วยแรงขายออกทำกำไรหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 1.65%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.เพิ่มขึ้น +91 เซนต์ หรือ 1.1 ปิดที่ 83.87 ดอลลาร์/บาร์เรล น้ำมันดิบ WTI ขยับขึ้นปิดบวกต่อและยังปิดเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบกว่า 7 ปีนับตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2557 หลังจากสำนักงานสารสนเทศการพลังงานสหรัฐเผยสอกน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่แล้ว สิ้นสุด ณ วันที่ 15 ต.ค.ลดลง 400,000 บาร์รลสวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล
ในขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอคลาโฮมา จุดส่งมอบน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐมีปริมาณลดลงถึง 2.4 ล้านบาร์เรล, ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้น + 74 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 85.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งปิดเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบกว่า 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2561
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange Market) ส่งมอบเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้น + 14.4 ดอลลาร์ หรือ 0.81% ปิดที่ระดับ 1,784.9 ดอลล่าร์/ออน เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าบวกกับความกังวลเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนกลับมาซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย