thansettakij
"เกษตรกร -ผู้ค้า" จะทำอย่างไร เมื่อปุ๋ยแพง

"เกษตรกร -ผู้ค้า" จะทำอย่างไร เมื่อปุ๋ยแพง

01 พ.ย. 2564 | 12:33 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ย. 2564 | 21:54 น.

“เปล่งศักดิ์” นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย ตั้งโต๊ะแถลง "เกษตรกร -ผู้ค้า" จะทำอย่างไร เมื่อปุ๋ยแพง เตือนรัฐ ออกนโยบายแทรกแซงกลไกของตลาด ระวัง "การสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ” แนะประเมินรอบด้านก่อนตัดสินใจ

ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2563 ต่อเนื่องมายังปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทย รวมทั้งประเทศต่างๆ ทั่วโลกประสบกับการแพร่ระบาตของ"โรคโคโรน่าไวรัส" หรือ "COVID-19" ในส่วนของภาคการผลิตสินค้าเกษตร ประเทศไทยต้องนำเข้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตรจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์บางชนิด สารอารักขาพืช และ "ปุ๋ยเคมี"

 

เปรียบเทียบราคาปุ๋ย ระหว่างปี 2551 กับ ราคา ปี 2564 เปรียบเทียบราคาปุ๋ย ระหว่างปี 2551 กับ ราคา ปี 2564

 

ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงแรกๆ คือการนำเข้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศ รวมทั้งธุรกิจด้านโลจิสติกส์ได้รับผลกระทบโดยตรง จากการปิดเมืองสำคัญ รวมถึงการปิดประเทศ

 

เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช

 

นายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในภาพรวมของธุรกิจภาคการเกษตรได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาตของ COVID-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยการผลิตทางการเกษตร คือ "ปุ๋ยเคมี" ประเทศไทยต้องนำเข้าปุ้ยเคมีจากต่างประเทศ ประมาณ 90-95 % มาเพื่อผลิตและจำหน่ายปุ้ยให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ ในช่วงปลาย ปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน

 

ราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยเคมี มีระดับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากหลายๆ ปัจจัย จากวิกฤติเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลกจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ "COVID-19" ทำให้หลายๆ ประเทศเริ่มตระหนักถึงความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซึ่งส่งผลต่อการผลิตพืซอาหาร ดังนั้น ปุยเคมื จึงเป็นปัจจัยการผลิตที่มีความจำเป็นและมีความต้องการมากขึ้น โดยปัจจัยที่ทำให้ปุ๋ยเคมี มีระดับราคาที่สูงขึ้นประกอบด้วย

 

1. สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร

 

2. ราคาผลผลิตทางการเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น

 

3. การกำหนดนโยบายความมั่นคงทางด้านอาหารของแต่ละประเทศ

 

4. นโยบายการชะลอการส่งออกปุ้ยเคมีของประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2564

 

ราคาปุ๋ยเคมี และค่าเงินบาท ตั้งแต่มกราคม ถึงตุลาคม ราคาปุ๋ยเคมี และค่าเงินบาท ตั้งแต่มกราคม ถึงตุลาคม

 

 

5. วิกฤตราคาพลังงานน้ำมัน ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิตปุ้ยไนโตรเจน

 

6. วิกฤติการขนส่ง (Logistic) ระหว่างประเทศส่งผลให้ค่าขนส่งสินค้าทางเรืออยู่ในระดับราคาสูง

 

7. ความผันผวนของค่าเงินในตลาดโลก

 

จากปัจจัยดังกล่าวล้วนส่งผลต่อความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยต้องนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เช่น ประเทศจีน ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย เป็นต้น

 

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในอาเซียน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในอาเซียน

สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบปุ๋ยเคมี แบ่งออกเป็นสามชนิด ประกอบด้วย "ปุ๋ยไนโตรเจน" (Nitrogen) การผลิตปุ๋ยไนโตรเจนจะมีสารตั้งต้นคือ สารแอมโมเนีย ซึ่งมี "ไนโตรเจน" เป็นส่วนประกอบทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจน ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากก๊าซธรมชาติในกระบวนการปิโตรเคมี หรือกระบวนการผลิตถ่านหิน สารแอมโมเนียนั้นใช้ในการผลิตปุ๋ยไนโตรเจนต่างๆ ได้แก่ "ยูเรีย" (46-0-0) และ "แอมโมเนียมซัลเฟต" (21-0-0) ซึ่งราคาน้ำมัน ถ่านหินจะส่งผลกระทบต่อการผลิตปุ๋ยไนโตรเจน

 

กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคา Granular Urea ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018-2021 (ตุลาคม)

 

ราคา "ยูเรีย" ในตลาดโลก ราคา "ยูเรีย" ในตลาดโลก
 

วัตถุดิบตัวถัดไป ปุ๋ย "ฟอสฟอรัส" (Phosphorus) ซึ่งทำมาจากหินชนิดหนึ่งเรียกว่า "หินฟอสเฟต" วิธีการผลิตปุยฟอสฟอรัสที่นิยมกัน ก็คือนำหินฟอสเฟตมาบดละเอียดและมาทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถันก็จะได้กรดฟอสฟอริก

 

กรดฟอสฟอริกนี้ถือเป็นตัวตันน้ำของปุยฟอสฟอรัส กรดฟอสฟอริกเป็นของเหลวซึ่งยากต่อการใช้ การเก็บรักษาและการขนส่ง จึงได้นำกรดฟอสฟอริกไปทำปฏิกิริยากับแอมโมเนีย กลายเป็นแม่ปุ๋ย  ที่เรียกว่า “DAP”  (Diammonium Phosphate)

 

ราคาตลาดโลก "Diammonium Phosphate" ราคาตลาดโลก "Diammonium Phosphate"

 

สูตร "18-46-0"  แม่ปุ๋ย "MAP" (Monoammonium Phosphate) สูตร "11-52-0" หรือ ใช้กระบวนการผลิตเดียวกันนี้ผลิตเป็นปุ๋ย N-P- K สูตรต่างๆ  สำหรับปุ๋ยฟอสฟอรัสนั้น กรณีที่หินฟอสเฟตแพง ปุ๋ยฟอสฟอรัสก็จะแพงด้วย และถ้ากรดกำมะถัน (sulfuric acid) แพงปุ๋ยฟอสฟอรัสก็จะแพงด้วยเช่นกัน

 

วัตถุดิบอีกตัวหนึ่งคือ ปุ๋ยโพแทสเซียม (Potassium) เป็นแร่ที่ขุดจากดินได้โดยตรง ที่เรียกกันว่า "แร่โพแทช" ประเทศไทยมีแหล่งแร่โพแทชขนาดใหญ่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดอุดรธานี หากโครงการพัฒนาเหมืองดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ก็จะได้แม่ปุ๋ยโพแทสเซียมใช้ในประเทศ ทดแทนการนำเข้าปีละประมาณ 600,000-800,000 ตันต่อปี

 

ปัจจุบัน ปัญหาราคาปัจจัยการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อเกษตรกรทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ปัจจุบันมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรระยะสั้นที่ภาครัฐบาลและเอกชนร่วมกันช่วยเหลือเกษตรกรคือ การขายปุ๋ยเคมีในราคาพิเศษ ผ่านสหกรณ์การเกษตร และกลุ่มสถาบันเกษตรกร โดยเริ่มตั้งแต่ครั้งแรก ในระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม และมีการขยายเป็นครั้งที่สองจนถึงเดือนตุลาคม 2564

 

แถลงข่าว แถลงข่าว

 

 

โดยทางสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทยช่วยเหลือปุ๋ยเคมีราคาพิเศษกับเกษตรกร 201,106 ตัน หรือ 4,022,120 กระสอบ จากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรระยะสั้นดังกล่าวเป็นมาตรการที่ดีที่ภาครัฐร่วมกับภาคเอกชนช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ปุ๋ยมีราคาแพง

 

เนื่องจาก "ปุ๋ยเคมี" เป็นตัวแปรสำคัญในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและสร้างรายได้สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกร แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ ควรทำอย่างระมัดระวังผู้กำหนดนโยบายควรเข้าใจธุรกิจและอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมีอย่างลึกซึ้ง ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจออกนโยบาย

การนำเข้าปุ๋ยเคมี 9 เดือนแรก การนำเข้าปุ๋ยเคมี 9 เดือนแรก

 

ช่วยเหลือปุ๋ยเคมีราคาพิเศษกับเกษตรกร 201,106 ตัน หรือ 4,022,120 กระสอบจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรระยะสั้นดังกล่าวเป็นมาตรการที่ดีที่ภาครัฐร่วมกับภาคเอกชนช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ปุ๋ยมีราคาแพง เนื่องจากปุยเคมีเป็นตัวแปรสำคัญในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและสร้างรายได้สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกร

 

แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ ควรทำอย่างระมัดระวังผู้กำหนดนโยบายควรเข้าใจธุรกิจและอุตสาหกรรมปุยเคมีอย่างลึกซึ้ง ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจออกนโยบาย มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบต่อทั้งเกษตรกรเองและผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตร และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

ปัญหาปุ๋ยเคมี ปัญหาปุ๋ยเคมี

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแทรกแซงกลไกของตลาด โดยทั่วไปแล้วจะทำให้เกิดสิ่งที่ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "การสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ (Deadweight los5)" ดังนั้นภาครัฐควรประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนที่จะทำการแทรกแซง มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการทำไปเพื่ออะไร ตอบโจทย์การช่วยเหลือเกษตรกรจริงหรือไม่ และที่สำคัญ ได้ผลดีมากกว่าผลเสียหรือเปล่า

 

 

จากวิกฤติการแพร่ระบาดของ "COVID-19" ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคเกษตรกรของไทย รวมทั้งเศรษฐกิจโลก ดังนั้นนโยบายภาคการเกษตรของประเทศไทยจะต้องมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีทิศทางและแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงและสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้ดีขึ้น

 

หลายปีที่ผ่านมาภาครัฐบาลมีนโยบายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก และเป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยเป็นที่ยอมรับต่อประเทศต่างๆ แต่สิ่งที่จะรองรับนโยบายดังกล่าว คือ ผลผลิตทางการเกษตร ที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องใช้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรเพื่อปรับแต่งพืชผลตามที่ต้องการ

 

แพร่ระบาดของโรคโคโรน่าไวรัส หรือ COVID-19 แพร่ระบาดของโรคโคโรน่าไวรัส หรือ COVID-19

 

เช่น เร่งการเจริญเติบโตของใบและต้น เร่งการออกดอกออกผล เพิ่มขนาดและคุณภาพผลผลิต ซึ่งส่วนนี้ "ปุ๋ยเคมี" ถือว่าเป็นปัจจัยการผสิตที่สำคัญ รวมทั้งการใช้ปุยเคมีให้มีประสิทธิภาพก็ควรใส่ปุ๋ยให้ถูกชนิด ถูกสูตร ถูกอัตรา ถูกเวลาและถูกวิธี และต้องมีหน่วยงานที่เชี่ยวชาญให้คำแนะนำอย่างถูกต้องแก่เกษตรกร การวิเคราะห์ดิน-พืช ซึ่งเป็นมาตราการที่จะต้องนำมาใช้อย่างจริงจัง

 

รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานการเพาะปลูกพืช เช่น GAP การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสมสำหรับพืช (GoodAgricultural Practice) เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบันและเป็นสิ่งที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล แก้ปัญหาจะดีกว่า