นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยหลังจากผู้บริโภคเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในประเทศไทย เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเริ่มมีแนวโน้มลดลง ประกอบการฉีดวัคซีนในประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการคลายล็อกดาวน์ และการเปิดประเทศ จะส่งผลในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังได้ประกาศเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศได้
รวมถึงการเลิกเคอร์ฟิวในเดือน พ.ย. ด้วย ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนตุลาคม 2564 พบว่า อยู่ที่ 43.9 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 41.4 และปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่มิถุนายน 64 เนื่องจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 29 จังหวัดเพิ่มเติม รวมถึงการลดเวลาเคอร์ฟิวลงในเดือนตุลาคมนี้
ขณะเดียวกัน การตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ส่งผลทางจิตวิทยาในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คาดว่าจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยของคนไทยในการบริโภคและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเข้ามาหมุนเวียนเพิ่มเติมในระบบเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาทจะทำให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้มงในปัจจุบันและในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก
ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 37.8 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 35.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ 40.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต 53.5 โดยปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเมื่อเทียบกับในเดือนกันยายน ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคตอย่างมาก เพราะมีความกังวลในวิกฤตโควิด-19 ในประเทศไทยและทั่วโลก ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
“ผู้บริโภคเริ่มรู้สึกมีความหวังว่าเศรษกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ในอนาคต หลังจาก ศบค. ประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.64 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเลิกเคอร์ฟิวและการเปิดประเทศที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.64 เป็นต้นไป ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวมากขึ้นในปลายปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 จะให้เศรษฐกิจจะต้องขยายตัวไม่น้อยกว่า 4-5% จึงจะช่วยให้อัตราการเติบโตของทั้งในปีอยู่ที่ 1-1.5%”