นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าววันนี้ว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็น 1ใน 5พืชเศรษฐกิจหลักภายใต้นโยบายประกันรายได้เกษตรกรได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมันและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
“ยืนยันว่าไม่ใช่ภาระแต่เป็นธุระของรัฐบาลในการบริหารนโยบาลให้สำเร็จตามที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นโครงการที่เกษตรกรพึงพอใจมากที่สุดโครงการหนึ่งของรัฐบาลเพราะสามารถสร้างหลักประกันรายได้(Universal basic income)จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในช่วงที่เกิดความผันผวนของราคาผลผลิตทางการเกษตรจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด19ที่ทำให้เศรษฐกิจวิกฤตไปทั่วโลก ถือเป็นนโยบายเรือธง(Flagship policy)ของพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาล”
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า “โครงการประกันรายได้ข้าว” เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์แห่งอนาคตในช่วงเปลี่ยนผ่าน(Transition period)ของการปฏิรูปภาคเกษตรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าว5ปี(2563-2567) ที่เริ่มมาแล้วตั้งแต่ปี 2563 ขับเคลื่อนด้วย4ยุทธศาสตร์ตั้งแต่ต้นน้ำการผลิตมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนพัฒนาพันธ์ุสร้างมาตรฐานเชื่อมโยง”กลางน้ำ”การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มและ”ปลายน้ำคือการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ทั้งตลาดในและต่างประเทศตามโมเดลเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต
โครงการนี้ได้ช่วยพัฒนาฐานะและชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและครอบครัวเกือบ30ล้านคนเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีแรงงานและการจ้างงานมากที่สุดซึ่งเป็นฐานรากสำคัญที่สุดของประเทศ ทำให้สามารถรักษาการผลิตสินค้าเกษตรสร้างรายได้ในการส่งออกให้กับประเทศของเราจนเป็นอันดับต้นของสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า1ล้านล้านบาทต่อปีในช่วง2ปีที่ผ่านมา
หากมองในมุมของการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการนำรายได้เข้าประเทศในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่และภาคบริการเช่นการท่องเที่ยวมีตัวเลขการส่งออกที่ลดลง ประการสำคัญคือเงินประกันรายได้ที่เกษตรกรได้รับเกิดจากการทำงานแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินจากหยาดเหงื่อแรงกาย ไม่ใช่การแจกจ่ายแบบให้เปล่า(Free rider)จำนวนหลายแสนล้านบาทเหมือนโครงการอื่นๆของรัฐ
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ภาคเกษตรในรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์กำลังนำภาคเกษตรกรรมเข้าสู่มิติใหม่โดยเฉพาะเกษตรอัจฉริยะแนวทางเกษตรแม่นยำ(Precision Agriculture)ที่ใช้บิ๊กดาต้า(Big Data)และดิจิตอลเทคโนโลยี(Digital Technology)
รวมถึงการทำเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งพัฒนาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า5,000แปลงรวมพื้นที่กว่า 6 ล้านไร่ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรรวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน
เน้นการบูรณาการความร่วมมือทำงานเชิงรุกกับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการและภาคเกษตรกรด้วยการสร้างกลไกเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อขับเคลื่อนด้วยแนวทางใหม่ๆภายใต้5ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตร 1.ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต 2.ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0
เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินการบริการประชาชนและการพัฒนาภาคเกษตรกรรมโดยการใช้เทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่อุปทานและมูลค่า(Supply-Value Chain)ตั้งแต่การผลิต การแปรรูปจนถึงการตลาด 3.ยุทธศาสตร์3Sเกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน(Safety-Security-Sustainability)4.ยุทธศาสตร์บูรณาการเชิงรุก 5.ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืน(Sustainable Agriculture)ภายใต้แนวทางศาสตร์พระราชา
“ในขณะที่เราประกันรายได้ชาวนา อีกด้านหนึ่ง เราก็เร่งปฏิรูปข้าวครบวงจรทั้งระบบ วันนี้นิคมอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นอุตสาหกรรมแปรรูปข้าวใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียนของเรากำลังสร้างในเขตผลิตข้าวลุ่มเจ้าพระยา เราตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC)77จังหวัดคิกออฟพร้อมกันทั่วประเทศมาตั้งแต่ วันที่ 1 มิถุนายน 2563"
ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯรวมทั้งการพัฒนา12พันธุ์ข้าวตอบโจทต์ตลาดทั้งในและต่างประเทศ เราจะย่ำเท้าอยู่กับที่ปล่อยให้ปัญหาจมปลักอยู่ที่เดิม ชาวนาต้องติดหล่มความยากจนและหนั้สินเหมือนในอดีตอีกต่อไปไม่ได้
ด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ในฐานะผู้แทนชาวนาทั้งประเทศเห็นใจ และเข้าใจ รัฐบาลที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ในว่าในขณะนี้ไม่มีโครงการอะไรที่จะให้ชาวนาได้เลือกเลย แต่หากจะทบทวนโครงการประกันรายได้ข้าว แต่อย่าให้ต่ำไปกว่าโครงการนี้ และเพียงปีละหนเดียว
"นอกจากนี้ ในวันที่จะคุยกับรองนายกรัฐมนตรี หากท่านมีคิวว่า สิ่งที่สมาคมจะเสนอ อาทิ พักชำระหนี้ ลดค่าปุ๋ย ค่าสารเคมี การหาแหล่งน้ำในภาคเกษตร และ การลดต้นทุนน้ำมัน เป็นต้น ส่วนในเรื่องการเรียกเก็บเงิน 2% "ประกันรายได้ข้าว" นั้น ผมไม่เห็นด้วย โกรธมาก ไม่ควรที่จะเอาเปรียบ หากินกับชาวนา เห็นแก่ได้ พวกผู้นำท้องถิ่น ถ้าจับได้ มีหลักฐาน จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ตอนนี้สมาคมก็ยังไม่ปล่อยแน่"