ราคาน้ำมันในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงขาขึ้นในเวลานี้ ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประทศไทย (สขบท) ออกมาเรียกร้องกระทรวงพลังงาน ให้ตรึงราคาดีเซลขายปลีกที่ 25 บาทต่อลิตรเป็นเวลา 1 ปี โดยขอให้รัฐลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่เก็บอยู่ 5 บาทต่อลิตรลง ลดค่าการตลาด และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่มีผลต่อราคาน้ำมัน หากทำไม่ได้ตามข้อเรียกร้องจะหยุดเดินรถเพิ่ม จากที่หยุดไปแล้วมากกว่า 20% หรือมากกว่า 1 แสนคันในเวลานี้
อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้เลือกแนวทางเตรียมกู้เงินอีก 2 หมื่นล้านบาทสำหรับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใช้ในการพยุงราคาดีเซลไว้ที่ระดับ 30 บาทต่อลิตร ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน(พน) เป็นประธาน (24 พ.ย.) ได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินการในเดือน ธ.ค. 2564- มี.ค. 2565 ประเด็นสำคัญคือการปรับลดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก 3 สัดส่วน(B7, B10, B20) เหลือสัดส่วนผสมเดียวคือร้อยละ 7 (B7) ส่งผลให้ ณ ปัจจุบันราคา B7 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 28 บาทต่อลิตร แต่เวลานี้เรื่องราคาน้ำมันก็ยังมีแรงกระเพื่อมไม่หยุดจากภาคส่วนที่มีส่วนได้-เสีย
นายชโยดม สุวรรณวัฒนะ ประธานกลุ่มคนปลูกปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทยและกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” มติ กบง.ลดส่วนผสมเดียวในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเหลือแค่ B7 ทำให้เกษตรกรเดือดร้อน ถือเป็นการทำลายอาชีพเกษตรกร และสวนทางกับนโยบายส่งเสริมปลูกพืชพลังงานของรัฐบาล ทั้งนี้การปรับสูตรน้ำมันโดยใช้น้ำมัน B100 เป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลลดลงจะส่งผลให้ราคาปาล์มที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวลดลง
“ตอนราคาปาล์ม 1 บาทกว่าต่อกิโลกรัม รัฐบาลก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่ตอนนี้ราคาผลปาล์มพุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี แทนที่จะดีใจกลับเกษตรกร ก็จะได้ราคาดีในช่วงระยะสั้น ๆ เท่านั้น ตอนที่ใช้น้ำมันราคาถูกก็ใช้กันสบาย แต่ตอนที่ใช้น้ำมันราคาแพง ก็จะลดผสมดีเซล ถามว่ายุติธรรมกับเกษตรกรหรือไม่ ถือเป็นการโยนบาปให้เกษตรกร ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าน้ำมันดีเซลแพงเพราะเกษตรกร ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วย กับมติดังกล่าว ในเร็ว ๆ นี้จะมีการจัดประชุมเพื่อนัดรวมพลไปปิดล้อมกระทรวงพลังงานเพื่อถามว่านโยบายดังกล่าวทำเพื่อใคร”
เช่นเดียวกับ นายสิทธิพร จริยพงศ์ รองประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ คนที่ 1 และประธานสภาเกษตรกรจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ไม่เห็นด้วย เพราะกระทบห่วงโซ่ จากที่ได้คุยกับโรงงานที่ผลิต B100 เพื่อป้อนให้กับโรงงานผลิต B7, B10 และ B20 แจ้งว่าระยะสั้นทนได้ แต่หากระยะยาวกำลังการผลิตลดลง ไม่คุ้มค่าเครื่องจักร พนักงานจะอยู่อย่างไร ดังนั้นกรอบระยะเวลาการกำหนดสัดส่วนเฉพาะ B7 ไม่ควรยาว ควรพิจารณาเดือนต่อเดือน
ด้านนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย(สขบท) กล่าวว่า กรณี กบง. มีมติปรับสเปคน้ำมันดีเซลเหลือ B7 ชนิดเดียว ส่งผลให้ราคาลดลงมาเหลือระดับ 28 บาทต่อลิตรในขณะนี้ ทางสหพันธ์ฯพอใจการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาทางสหพันธ์ฯ ได้เรียกร้องให้ภาครัฐปรับลดราคาดีเซลลงมาที่ 25 บาทต่อลิตร ล่าสุดทางสหพันธ์ฯอยู่ระหว่างการเจรจากับภาครัฐเพื่อหาวิธีปรับลดราคาดีเซลลงมาอีก(ส่วนหนึ่งเสนอให้ปรับสเปคดีเซลเป็นสูตร B3 หรือ B4) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงผู้ประกอบการรถขนส่งและประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยกำหนดระยะเวลาเจรจาร่วมกันภายใน 10 วัน
“แม้ภาครัฐปรับลดราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 28 บาทต่อลิตร เรายังไม่ค่อยพอใจเท่าไร เพราะยังไม่สะท้อนถึงต้นทุนจริงของเรา โดยต้นทุนจริงอยู่ที่ 23-24 บาทต่อลิตร จะทำให้มีกำไรอยู่ที่ 20% ต่อเที่ยว แต่ก็ยังรู้สึกดีที่ภาครัฐฟังเสียงสะท้อนของเราบ้าง ทั้งนี้มาตรการเดิมของสหพันธ์ฯยังคงเหมือนเดิม โดยภายในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ทางกลุ่มฯ จะประท้วงกดดันภาครัฐเพื่อปรับลดราคาน้ำมันลง ส่วนกรณีที่สหพันธ์ฯจะมีการปรับค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 10% ขณะนี้จะยังไม่ดำเนินการ แต่จะให้เวลาภาครัฐพิจารณาหลังจากเจรจาแล้วเสร็จ หลังจากนั้นจะประเมินผลอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป”
ขณะที่นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน(กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร เผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทาง กมธ.การพลังงานได้เชิญผู้แทนกรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าชี้แจงเพื่อให้ข้อมูลเพื่อหาแนวทางการแก้ไขการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ทางกรรมาธิการฯ เห็นควรให้มีการลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลให้เหลือแค่ B5 ชนิดเดียว และเห็นควรลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในอัตรา 5 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป เพื่ออุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 25 บาทต่อลิตร
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3735 วันที่ 28 พ.ย.-1 ธ.ค. 2564