จับตาโอมิครอนรุนแรง ทุบ ส่งออกไทยปี65 โตแค่0.2%

21 ธ.ค. 2564 | 08:53 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ธ.ค. 2564 | 16:11 น.

จับตาโอมิครอนรุนแรง ทุบ   ส่งออกไทยปี65 โตแค่0.2%  หากไม่รุนแรงคาดส่งออกไทยปีหน้าโตที่4.8% ชี้ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆด้วย

นายอัทธ์ พิศาลวานิช  ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า  ได้ทำการวิเคราะห์ทิศทางการส่งออกไทยปี 2565 ภายใต้ปัจจัยบวก ปัจจัยลบ และปัจจัยที่ต้องติดตามต่างๆ  โดยมองว่าการส่งออกจะขยายตัวลดลงและมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า

จับตาโอมิครอนรุนแรง ทุบ  ส่งออกไทยปี65 โตแค่0.2%

โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโคมิครอน ซึ่งศูนย์ฯได้วิเคราะห์ออกเป็นแบ่งเป็น 2 กรณี คือ  กรณีถ้าโอมิครอน ระบาดในโลกไม่รุนแรง ประเทศไทยจะมีมูลค่าการส่งออก 275,074 ล้านดอลลาร์ หรือขยายตัวเฉลี่ย 4.8%  แต่กรณีถ้า โอมิครอน ระบาดในโลกอย่างรุนแรง ประเทศไทยจะมีมูลค่าการส่งออก 262,991 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเฉลี่ย 0.2% 

ทั้งนี้ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อการส่งออกที่สำคัญ ในปีหน้า คือเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้ายังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องแต่คาดว่าการฟื้นตัวน้อยกว่าปี 64  , เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า โดยในปี 2564 ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน  ,หลายประเทศมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ครอบคลุมประชากรมากขึ้นและแนวโน้มความต้องการสินค้าสุขภาพและอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อที่มากขึ้น

จับตาโอมิครอนรุนแรง ทุบ  ส่งออกไทยปี65 โตแค่0.2%

จับตาโอมิครอนรุนแรง ทุบ  ส่งออกไทยปี65 โตแค่0.2%

ปัจจัยลบ การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศจากสายพันธุ์โอมิครอน ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ ที่ลดทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค นโยบาย Zero Covid ของจีน  ,ขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางสูง , ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น และปัญหาการสะดุดของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption)

จับตาโอมิครอนรุนแรง ทุบ  ส่งออกไทยปี65 โตแค่0.2%

อย่างไรก็ตามประเด็นที่ต้องติดตามต่อในปีหน้า คือ  ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2565  รถไฟลาว-จีนที่อาจจะส่งผลต่อสินค้าไทยบางตัว รวมถึงนโยบายการเปิด ปิดประเทศของประเทศคู่ค้าหรือมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่อาจเข้มงวดขึ้นของประเทศคู่ค้า

จับตาโอมิครอนรุนแรง ทุบ  ส่งออกไทยปี65 โตแค่0.2%

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง สงครามการค้า เทคโนโลยี ค่าเงินระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงยืดเยื้อ และภาษีคาร์บอนตลาดยุโรปในปี 2566