หมูแพง ทำผู้ค้าอาหารอ่วม 2เด้ง แฟรนไชส์ดังซ้ำเติมเรียกค่าลิขสิทธิ์เพิ่ม

ปัญหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงรับปีใหม่ โดยเฉพาะราคาหมูสดที่แพงทั้งแผ่นดินจนไม่สามารถควบคุมราคาได้นั้น เดือนร้อนทั้งผู้ค้า และผู้บริโภค ซึ่งหน่วยงานรัฐเองก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างจริงจัง โบ้ยไปที่ราคาต้นทุนวัตถุดิบอย่างอาหารสัตว์ขึ้นราคา คนเลี้ยงหมูน้อยลง เกิดโรคระบาด ถ้าดูสถิติของกรมการค้าภายในพบว่า ราคาหมูในปีนี้พุ่งขึ้นเกือบ50บาทต่อกิโลกรัมจากเดิมที่ราคาเพียง130-150บาท หรือไม่เกิน180 บาท แต่ปลายปี2564ข้ามมาถึงปี2565

ราคาหมูกลับทะยานขึ้นแบบคุมไม่ได้ แตะไปถึงกิโลกรัมละ250บาท ยังไม่ร่วมราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะร้านอาหารตามสั่งต่างได้รับผลกระทบจนต้องมีการปรับราคาขึ้นตามต้นทุนที่พุ่ง ในขณะที่ผู้บริโภคเองก็ต้องก้มหน้ารับสภาพซื้ออาหารที่แพงขึ้นตาม

ผู้สื่อข่าว  ได้มีโอกาสคุยกับผู้ประกอบร้านอาหาร อย่างร้านลุงหนวด ย่านคลองถนน จังหวัดนนทบุรี บอกว่าทางร้านกลับมาเปิดขายวันนี้ (5 ม.ค.65) เป็นวันแรก หลังจากหยุดยาวช่วงปีใหม่ เนื่องจากร้านเนื้อหมูสดที่สั่งซื้อประจำ แจ้งว่าตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.64 ไม่มีสินค้าส่งขายให้ลูกค้าเนื่องจากโรงงานหยุดส่งสินค้าให้ชั่วคราว ขณะเดียวกันร้านเนื้อหมูสดร้านอื่นๆ ก็พบว่ามีสินค้าไม่พอที่จะขายให้ เนื่องจากสินค้ามีน้อยและส่งขายให้ได้แต่ลูกค้าประจำที่สั่งจองไว้ล่วงหน้าเท่านั้น

อย่างไรก็ตามจากการสั่งซื้อเนื้อหมู (5 ม.ค.65) พบว่า ราคาเนื้อหมูมีการปรับขึ้นราคาทุกประเภทเกือบเท่าตัว โดยราคาเนื้อหมูสันนอก จากเดิม 150 บาท/กก. ปรับขึ้นเป็น 210 บาท/กก. เนื้อหมูสามชั้นสำหรับทำหมูกรอบ จากเดิม 185 บาท/กก เป็น 235 บาท/กก. ขาหมูส่วนตัดแต่ง เดิม 80-85 บาท/กก. เป็น 155 บาท/กก. กระดูกเล้ง จากเดิม 50 บาท/กก. เป็น 85 บาท/กก. ขณะที่น้ำมันปาล์มสำหรับใช้ในการทอดหมูกรอบ พบว่า ราคายังไม่มีการขยับลงหลังจากที่ได้ปรับขึ้นสูงไปแล้วก่อนช่วงปีใหม่ โดยราคายังเฉลี่ยอยู่ที่ 53 – 55 บาทต่อลิตร 

“ต้นทุนเนื้อหมูซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักของที่ร้านที่มีการปรับขึ้นราคากว่าเท่าตัว ทำให้ทางร้านจำเป็นต้องปรับราคาขายเพิ่ม อาทิ บะหมี่หมูแดง จากเดิมชามละ 35 บาท เป็น ชามละ 40-45 บาท , บะหมี่หมูแดงหมูกรอบ จากเดิมชามละ 40 บาท เป็น 50 บาท และข้าวขาหมูจากเดิมจานละ 40 บาท เป็น จานละ 50 บาท เป็นต้น ซึ่งกระทบกับลูกค้าเช่นกันอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างจริงจังด้วยเพราะเดือนร้อนทั้งคนขายและคนซื้อ ในยุคที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว หลายคนยังลำบากเพราะการแพร่ระบาดของโควิด มาเจอราคาสินค้าที่แพงขึ้นแบบนี้เป็นการซ้ำเติมประชาชนอีก  เราเองก็ไม่อยากขึ้นราคาแต่จะขายราคาเดินก็ขาดทุน ก็อยากให้หน่วยงานหรือนายกรัฐมนตรีลงมาดูเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่หมูแพงแล้วให้ไปกินอย่างอื่น เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด”

นอกจากนี้เจ้าของร้านลุงหนวด ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากราคาวัตถุดิบหลักอย่างเนื้อหมูที่ปรับขึ้นแล้ว  ยังพบว่าในส่วนของเจ้าของแฟรนไชส์บะหมี่เจ้าดังย่านปทุมธานี ยังได้ส่งหนังสือแจ้งซึ่งได้รับในวันนี้ (5 ม.ค.65) พร้อมกับการคิดค่าเป็นใช้จ่ายเพิ่มในบิล ที่ทำการสั่งสินค้าประเภท เส้นบะหมี่และเครื่องปรุงจากบริษัท ซึ่งค่าใช้จ่ายที่คิดเพิ่ม จำนวน 14 บาท มีการระบุว่าเป็นค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ ซึ่งเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการส่งสินค้าแจ้งเพียงว่า หากต้องการลดค่าใช้จ่ายในส่วนตรงนี้ ให้ทางร้านสั่งซื้อวัตถุดิบจากบริษัทครั้งละจำนวนมากแทน เพื่อไม่ต้องสั่งซื้อบ่อย เพราะค่าใช้จ่ายที่เก็บเพิ่ม จะคิดต่อครั้ง/บิล หรือเฉพาะวันที่มีการสั่งวัตถุดิบให้เท่านั้น  

ซึ่งเจ้าของร้านลุงหนวด กล่าวว่า การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์เพิ่มในครั้งนี้ เหมือนเป็นการมัดมือชก เพราะหากไม่สั่งวัตถุดิบกับทางบริษัท ซึ่งระบุไว้ในสัญญาชัดเจนว่าต้องใช้วัตถุดิบจากบริษัทเท่านั้น ก็จะไม่มีของขาย ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ พร้อมเล่าว่าในช่วง 2 ปีก่อน ก่อนเกิดโควิด-19 ทางบริษัท ได้เคยโทรมาสอบถามทางร้านว่า

จะมีการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์จากร้านค้าเพิ่มเป็นรายเดือน เดือนละ 1,500 บาท ซึ่งในครั้งนั้น บรรดาร้านค้าแฟรนไชส์ ต่างไม่ยินยอม เพราะมองว่าได้จ่ายเงินซื้อค่าแฟรนไชส์ไปหมดแล้ว และจากที่ขายมาเป็น 10 ปี ก็ไม่เคยเสียเงินตรงส่วนใดเพิ่ม จึงทำให้เรื่องเงียบไป จนกระทั่งล่าสุดทางบริษัท ได้ใช้รูปแบบเรียกเก็บเงินเพิ่มเป็นรายครั้งที่ทำการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งหากดูยอดเงินต่อบิล อาจดูไม่มาก แต่หากคำนวนเป็นต่อเดือนหรือต่อปี ก็ถือเป็นภาระต้นทุนที่บรรดาแฟรนไชส์ซีต้องแบกรับภาระเพิ่มไม่น้อยเช่นกัน