นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ประเด็นที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพปชร. พร้อมด้วยส.ส. รวมเป็น 21 คน ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้น หากจะมองเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมคงจะเร็วเกินไปที่จะประเมินในเวลานี้
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามหลังจากนี้ก็คือ การแยกตัวออกไปของ ร.อ.ธรรมนัส จะยังคงให้การสนับสนุน พชปร. หรือไม่ ในการออกคะแนนเสียงในสภาฯ เวลาที่มีการโหวตกฎหมายสำคัญ
หรือจะโหวตแตกต่างออกไป หากแค่เป็นการแยกออกแต่ยังสนับสนุนพรรคเหมือนเดิมก็ไม่มีประเด็นอะไรน่าเป็นห่วง แต่หากโหวตไปในทิศทางตรงข้ามก็น่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
"หากเป็นไปตามแผนแค่แยกกันอยู่ แต่ยังสนับสนุน พปชร. เหมือนเดิมทุกอย่างลงตัวหมด ไม่มีปัญหาก็เป็นแค่เกมส์ทางการเมือง และไม่ส่งผลกระทบเท่าใดนัก แต่หากการเมืองไม่เป็นไปตามที่ตกลง หรือตามที่มีข่าวเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรี แล้วตกลงกันไม่ได้ ถ้าพรรคใหม่ของ ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้เรื่องตำแหน่ง จะส่งผลทำให้เสียงสนับสนุนในการยกมือเรื่องกฎหมาย หรือการประชุมอาจจะไม่ราบรื่น อาจจะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลอ่อนแอลง มีความเปราะบางมากขึ้น"
อย่างไรก็ดี หากเป็นกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัสได้ตำแหน่งตามที่เป็นข่าว ก็จะต้องจับตาดูท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยว่าให้การยอมรับหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหาทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี หากไม่ยอมรับย่อมส่งกระทบแน่นอน
โดยหากการเมืองอยู่ในช่วงการผลัดเปลี่ยนไม่มีความมั่นคง หรือมีความเปราะบางมาก จะทำให้การทำงานของภาครัฐในการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาปากท้อง หรือเรื่องอื่นเสียสมาธิ ขาดพลังในการร่วมแรงร่วมใจ
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ความจริงแล้วก่อนหน้าที่จะมีกรณีของ ร.อ.ธรรมนัส ภาวะเศรษฐกิจก็มีสถานะที่ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้น จากข้าวของที่แพง และการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 (covid-19) เริ่มคลี่คลาย เพราะฉะนั้นในทุกอุตสาหกรรมในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ก็กำลังต้องฟื้นตัว
โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมก็ยังมีผลกระทบเรื่องเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก อาจจะส่งผลให้กำลังซื้อจากต่างประเทศ หรือลูกค้าของไทยอาจจะมีปัญหา ขณะที่โอมิครอน (Omicron) ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อมากทำให้ของชิ้นส่วนต่างๆ สินค้าอุตสาหกรรมต่างๆเริ่มมีปัญหา เรื่องการขาดแคลนบางอุตสาหกรรม ก็จะส่งผลกระทบ
ส่วนภาคบริการ หรือท่องเที่ยวก็ยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากโอมิครอนสามารถควบคุมได้ ไม่ระบาดมาก และไม่รุนแรง ซึ่งเวลานี้ก็พยายามลุ้นว่า ต้องการให้ภาครัฐกลับมาใช้ระบบ Test & Go เพราะจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น เดิมมีการตั้งเป้าว่าปีนี้จะเข้ามาประมาณ 15 ล้านคน เมื่อมีโอมิครอนลดเหลือ 6 ล้านคน
โดยหากโอมิครอนไม่รุนแรง และยอมให้มี Test & Go อาจจะทำให้มีนักท่องเที่ยวปีนี้ขึ้นไปถึง 8 ล้านคน ซึ่งก่อนที่จะมีประเด็นเรื่อง ร.อ.ธรรมนัส ภาคเศรษฐกิจก็มีปัญหา และความท้าทายอยู่แล้ว
"ด้วยลำพังสิ่งที่มาจากปัจจัยภายนอก การแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เรื่องโรคระบาดขณะนี้เป็นปัญหาทางเศราฐกิจที่หนักกว่า"
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า สิ่งที่เรากลัวมากกว่านั้นคือ สถานการณ์จากต่างประเทศ ราคาน้ำมันโลกจะทะลุ 100 เหรียญอย่างที่คาดการณ์หรือไม่ ซึ่งจะทำให้เกิดเงินเฟ้อทั่วโลก
และกระทบไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในภาวะที่ขณะนี้ของกินของใช้แพงหมด ขณะที่รายได้ไม่มาก ไม่เพิ่ม บางคนยังตกงาน มีหนี้ครัวเรือน 80-90% เรื่องเหล่านี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจมาก ถ้าการเมืองนิ่งลงตัวหมดก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูต่อไป