วันที่ 23 ม.ค. 2565 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีปล่อยกุ้งก้ามกรามและสัตว์น้ำ คืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จำนวน 1,500,000 ตัว ณ คลองนาคราช ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร จัดโดยกรมประมง เพื่อเพิ่มแหล่งอาหาร สร้างอาชีพ
เพิ่มรายได้ให้แก่ชาวประมง และ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 รวมทั้ง เป็นการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำและคืนความหลากหลายของชนิดสัตว์น้ำ ทำให้เกิดความสมดุลตามธรรมชาติของระบบนิเวศน์ โดยมีนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง บรรยายสรุปสถานการณ์การทำประมงในพื้นที่ ตลอดจนผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการภาคประชาชน ภาคเอกชน เข้าร่วม
โอกาสนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ยังได้ติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาระบบชลประทานเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค รวมทั้งโครงการป้องกันอุทกภัยของ จ.ชุมพร ซึ่งดำเนินการโดยกรมชลประทานและหน่วยงานอื่นๆ โดยใช้งบประมาณกว่า 3 พันล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2567
เพื่อแกัปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับชุมพรตลอดมา ซึ่งทุกภาคส่วน รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็มีส่วนสำคัญในการประสานงานอย่างต่อเนื่องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จ
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ชุมพรเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงมาก มีรายได้ต่อหัวของประชากรกว่า 2 แสนบาทต่อปี อยู่ในกลุ่มท็อป 20 ของประเทศ โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายที่จะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ปี 2565 กว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีภาคเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งมีพืชเศรษฐกิจหลักทำรายได้ให้จังหวัด เช่น ทุเรียน ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มะพร้าว และกาแฟโรบัสต้า รวมทั้งเศรษฐกิจภาคบริการด้านการท่องเที่ยว จึงได้วางนโยบายที่จะพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดชุมพรให้ก้าวสู่เป้าหมายใหม่ของการพัฒนาอย่างน้อยใน 3 ด้าน ดังนี้
1. นโยบายพัฒนาชุมพรเป็นมหานครผลไม้ภาคใต้ เช่นเดียวกับจันทบุรีในภาคตะวันออก ซึ่งการส่งออกผลไม้ของไทยกำลังเติบโดยอย่างรวดเร็วในปี 2564 เพียง 11 เดือน ไทยส่งออกผลไม้คิดเป็นมูลค่า 1.5 แสนล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์และเป็นปีแรกที่ทุเรียนส่งออกได้เกิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งชุมพรเป็นจังหวัดที่ผลิตทุเรียนได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางขนส่งผลไม้ทางรถไฟสาย จีน-ลาว จะเพิ่มการส่งออกผลไม้ได้มากขึ้น ในปีนี้ จึงต้องเร่งยกระดับการพัฒนาชุมพรเป็นฮับผลไม้ภาคใต้
2. นโยบายพัฒนาชุมพรเป็นฮับกาแฟโรบัสต้าของประเทศ โดยสร้างแบรนด์สร้างมูลค่ากาแฟโรบัสต้าที่ชุมพรผลิตได้มากเป็นอันดับ 1 สู่กาแฟมูลค่าสูงทั้งตลาดในและต่างประเทศ เพราะตลาดกาแฟกำลังขยายตัวเติบโตทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยจะพัฒนาคู่ขนานกับกาแฟอะราบิก้าของภาคเหนือ
3.นโยบายพัฒนาชุมพรเป็นประตูท่องเที่ยวเกตเวย์ทะเลใต้ เพราะนอกจากชุมพรเป็นประตูสู่ภาคใต้แล้ว ยังมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวทางทะเลมีท่าเรือบริการเชื่อมเกาะและหมู่เกาะในอ่าวไทย เช่น เกาะสมุยและหมู่เกาะอ่างทอง โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติชุมพร มีเกาะกว่า 40 เกาะ เช่น เกาะทะลุ เกาะงามใหญ่ เกาะง่ามน้อย เกาะลังกาจิว ถือเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เราต้องเตรียมความพร้อมรองรับโอกาสทันทีที่วิกฤติโควิดคลี่คลายและนักท่องเที่ยวกลับมา
ทั้งนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมสนับสนุนจังหวัดชุมพรในทุกด้านเพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน หลังจากนั้น นายอลงกรณ์ และคณะได้ลงพื้นที่สำรวจศักยภาพของชุมพรในฐานะฮับผลไม้ภาคใต้และติดตามสถานการณ์การส่งออกทุเรียนปลายฤดู ณ ตลาดกลางผักและผลไม้ตลาดมรกต ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร
โดยพบปะหารือกับผู้ประกอบการเพื่อรับทราบปัญหา อุปสรรค และเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูการผลิตต่อไป พร้อมกันนี้ เข้าเยี่ยมชมผู้ประกอบการห้องเย็นครบวงจรขนาดใหญ่ที่ได้มาตรฐานส่งออกซึ่งมีการนำระบบไนโตรเจนเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยืดอายุการจัดเก็บ และรักษารสชาติทุเรียนผลสด รวมถึงทุเรียนเนื้อแกะเมล็ดด้วย
สำหรับไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิลบ 190 องศาเซลเซียส จะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาทุเรียนเน่าเสีย เพราะการขนส่งที่ติดขัดของด่านต่างๆ จากมาตรการ "Zero Covid" ของจีน นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บสต็อกทุเรียนและผลไม้อื่นๆ ที่ทะลักออกมามากพร้อมกันโดยแช่แข็งเก็บไว้ได้นานถึง 18 เดือน เพื่อรอระบายสู่ตลาดในและต่างประเทศ ทั้งยังคงสภาพความสดอร่อยได้เกือบเทียบเท่าผลสดอีกด้วย