4 ปัจจัยบวก ดัน "CIVIL"รับการประเมินราคาเป้าหมายใหม่ 7.70 บาทต่อหุ้น

03 ก.พ. 2565 | 14:57 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.พ. 2565 | 22:02 น.

CIVIL รับการประเมินราคาเป้าหมายหุ้น CIVIL ใหม่ที่ 7.70 บาท เผย เป็นผลจากปัจจัยบวก 4 ด้าน สร้างความเชื่อมั่นการเติบตแบบ Super growth stock

CIVIL รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมาบริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ บล.บัวหลวง ประเมินราคาเป้าหมายหุ้น CIVIL ใหม่ที่  7.70 บาท โดย re - rate PER target เพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า จากเดิม 14 เท่า จากปัจจัยบวก 4 ด้าน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อภาพการเติบโตแบบ Super growth stock ที่โดดเด่นของบริษัทฯ เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง


     
นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า ปัจจัยบวกทั้ง 4 ด้านที่ทำให้ CIVIL ถูกบล.บัวหลวงประเมินเป้าหมายราคาหุ้นใหม่ให้สูงขึ้นนั้น ได้แก่ 

1) การมีจุดเด่นในเรื่องการบริหารต้นทุน และมี Gross margin ระดับ Double digit โดยเฉลี่ยช่วง ปี 2561-2563 อยู่ที่ 14.5% และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 11.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 9.1% และ 8.2% ตามลำดับ จากการที่มีโรงงานช่วยลดต้นทุนวัสดุ, การ Balance Portfolio ที่มีงานทั้งโครงการใหญ่ - เล็ก เพื่อรักษาระดับกำไรขั้นต้น (Gross Profit) ระดับ Double digit,

 

การใช้เครื่องจักร – เทคโนโลยีช่วยก่อสร้างเพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน และสนับสนุนอุตสาหกรรมแรงงานไทยให้เป็นแรงงานฝีมือมากขึ้นซึ่งจะช่วยหนุน Gross Profit ให้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงการขาดแคลนแรงงานในอนาคต

 2) หลายโครงการใน Pipeline รองรับฐานกำไรเติบโต อีกทั้ง CIVIL มีศักยภาพในการหางานใหม่เฉลี่ย 5,000 ล้านบาทต่อปี และคาดการณ์ว่ามูลค่างานในมือสะสม (Backlog) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ส่งผลให้รักษาระดับรายได้ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อปี ได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปี

 

อีกทั้งจากการ IPO ทำให้บริษัทฯ มีเงินลงทุนขยายเครื่องจักร สามารถเดินหน้าหางานใหม่มาเติมได้ต่อเนื่อง เช่น งานเซ็นสัญญาเข้ารับงานบริหารโครงการก่อสร้างกับหน่วยงานภาครัฐ รวมจำนวน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน -บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย - บางแพ้ว ตอน 8 มูลค่าโครงการ 1,911 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ถนนสาย บ.หาดสำราญ-ตะเสะ (ตอนที่2) มูลค่าโครงการ 34.5 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างถนนยางแอสฟัลติกคอนกรีตสาย อย.4055 แยกทางหลวงหมายเลข 3267 - บ้านตาลเอน อ.มหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ 45 ล้านบาท


     
นอกจากนี้ งานในระบบของกระทรวงคมนาคมช่วง 1 – 5 ปีข้างหน้า ยังมีมูลค่ารวมสูงถึง 900,000 ล้านบาท และบริษัทฯ ยังมีแผนขยายงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อื่น ๆ อีกด้วย เช่น UNIQ


     
3) การมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อแนวโน้ม Backlog และผลประกอบการของบริษัทฯ หลังกลุ่มบริษัทโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศอย่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ IPO จึงประเมินว่าบริษัทฯ มีโอกาสที่จะได้เข้าร่วมงานโยธาโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น เพราะกลุ่มบริษัทบีทีเอส และพันธมิตรอย่างบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC มีงานสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ซึ่งคาดว่ามูลค่างานโยธาจะอยู่ที่ประมาณ 120,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นการหาผู้รับเหมาในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 อีกทั้ง GULF ที่มีการลงทุนโรงไฟฟ้า – เขื่อนในลาว โครงการแรกประมาณ 70,000 ล้านบาท หาก CIVIL ได้ส่วนแบ่งงานเพียง 10% จาก 2 โครงการดังกล่าว ก็จะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยบล.บัวหลวงประเมินกรณี Best case scenario ว่าบริษัทฯ สามารถรับงานได้เต็มกำลังสูงสุดราว 15,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหมายถึงรายได้มีโอกาสจะเติบโตเกือบ 2 เท่าตัวจากปัจจุบัน


     
4) การคาดการณ์กำไรหลักในปี 2565 ที่ 269 ล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน หากอิงตาม Backlog เดิม แต่จากความมั่นใจต่อโอกาสรับงานใหม่มากกว่าในอดีต ทางบล.บัวหลวงจึงได้ปรับสมมติฐานงานใหม่ในปี 2566 จากเดิม 5,000 ล้านบาทเป็น 7,500 ล้านบาท และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี ทำให้ประมาณการณ์กำไรหลักในปี 2565 - 2569 จะเติบโตเฉลี่ย 23% และทางบล.บัวหลวง ได้วิเคราะห์กรณี Base case มีงานใหม่ 9,000 ล้านบาทในปี 2566 ไต่ระดับไปเต็ม Maximum capacity ในปี 2569 พบว่ากำไรหลักปี 2565 – 2569 จะเติบโตเฉลี่ยถึง 34% 

 

ส่งผลให้ทางบล.บัวหลวงได้ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น CIVIL ใหม่ที่ 7.70 บาท โดย re-rate PER target อยู่ที่ 20 เท่า จากเดิม 14 เท่า โดยอิง PEG เพียง 0.6 เท่า บนการเติบโต 5 ปี เฉลี่ย 34% ตามประมาณการกำไรกรณี Best case โดย PER target ที่ 20 เท่า เป็นระดับ Premium valuation มากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่เฉลี่ย 16.5 เท่า สะท้อนความเชื่อมั่นต่อภาพการเติบโตแบบ Super growth stock ที่จะโดดเด่นกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมไปได้อีกหลายปี