อีอีซีระอุ!จับตาสกพอ.ชงตั้งบริษัทลูกบริหารสัญญาเมืองการบินอู่ตะเภา

21 ก.พ. 2565 | 02:39 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.พ. 2565 | 10:01 น.

อีอีซีระอุ!จับตาสกพอ.ชงตั้งบริษัทลูกบริหารสัญญาเมืองการบินอู่ตะเภา ตั้งบริษัทอีอีซี พัฒนาสินทรัพย์สนามบิน จำกัด ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท สกพอ.ถือหุ้น 99.99% ได้สิทธิ์ รับสัญญาจ้างบริหารโครงการพัฒนาอู่ตะเภา-เมืองการบินรวมทั้งสัญญาอื่นที่สกพอ.เป็นคู่สัญญา

 

มีความกังวลกันว่าการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี อาจจะไม่บรรลุตามเป้าหมาย ตามแผนที่รัฐบาลกำหนดให้หัวขบวนขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยใช้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินและโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา-เมืองการบินภาคตะวันออกเป็นแม่เหล็กดึงทุนข้ามชาติเข้าพื้นที่

 

นอกจากสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี แต่เนื่องจากการระบาดโควิด-19 ส่งผลให้2โครงการขนาดใหญ่หัวใจสำคัญ ของเขต อีอีซี  เดินมาถึงจุดเปลี่ยน ฉุดความคุ้มค่าการลงทุนลดต่ำลง สถาบันการเงินทบทวนการปล่อยสินเชื่อใหม่ ส่งผลให้ เอกชนคู่สัญญา ต้องร้องขอสิทธิ์ประโยชน์เพิ่ม

 

ขณะท่าทีของรัฐครั้งที่ผ่านมาได้มีการผ่อนปรนไปบ้างแล้วดังจะเห็นได้จากการผ่อนชำระค่าโอนสิทธิ์เข้าบริหารแอร์พอร์ตลิงก์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและการขนาดเวลาการส่งมอบพื้นที่ให้เสร็จสมบูรณ์ให้กับเอกชนคู่สัญญา รวมทั้งเมืองการบินอู่ตะเภาที่เอกชนคู่สัญญามีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอความเห็นใจในกรณี นโยบายรัฐขยายสนามบินและโซนปลอดภาษีอากร แข่งซึ่งอาจส่งผลกระทบตามมา

ล่าสุด มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า ทาง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)จะเสนอตั้งบริษัทอีอีซี พัฒนาสินทรัพย์สนามบิน จำกัด ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยมีสกพอ.ถือหุ้น 99.99% ซึ่งบริษัทดังกล่าวจะได้รับสัญญาจ้างจาก สกพอ.ในการบริหารโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่ สกพอ.เป็นคู่สัญญา 

 

โดยจะได้รับค่าจ้างในระหว่างปี 2567-2569 วงเงิน 30 ล้านบาท ต่อที่ประชุม คณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ในวันนี้ (21 ก.พ.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน

 

ติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม สาม สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก รวมถึงจะมีการพิจารณาแผนงานขับเคลื่อนในพื้นที่เขตอีอีซีในปีนี้( ปี 2565)

 

 

สำหรับบริษัทอีอีซี พัฒนาสินทรัพย์สนามบิน จำกัด จะได้สิทธิเช้าที่ดินราชพัสดุพื้นที่พัฒนาสนามบิน(ATZ) ในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออกจาก สกพอ.ตามมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ที่กำหนดให้เกี่ยวกับที่ดินราชพัสดุที่ สกพอ.ใช้อำนาจกรมธนารักษ์ หรือที่ดินราชพัสดุที่หน่วยงานอื่นครอบครองหรือใช้ประโยชน์ และ สกพอ.ได้รับความยินยอมจากหน่วยงานนั้นในการเข้ามาดูแล

 

นอกจากนี้ บริษัทอีอีซี พัฒนาสินทรัพย์สนามบิน จำกัด จะได้รับมอบหมายจาก สกพอ.ในการบริหารสัญญาร่วมลงทุนและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดอายุสัญญา และสามารถลงทุนหรือร่วมลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน

 

 

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา โครงการเมืองการบิน ได้มีการลงนามไปเรียบร้อยแล้ว ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่วาระการตั้งบริษัทลูก ที่สอดใส่เข้ามา ทำให้ กรรมการหลายท่าน รวมทั้งนายสุพัฒนพงษ์ งง กับวาระ ในการตั้งบริษัทลูก เพราะ ต้อง พิจารณารายละเอียด ทีโออาร์ ที่เอกชนชนะประมูล ให้รอบคอบ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน 

 

เนื่องจากว่า ในทีโออาร์ ไม่ได้ ระบุว่าจะมีการตั้งบริษัทลูกมาบริหารโครงการ ดังนั้น หากมีการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาถือว่าอาจเข้าข่าย ผิดทีโออาร์ 

 

นอกจากนั้น การบริหารโครงการ มีคณะกรรมการบริหารสัญญา ดูแลอยู่แล้ว เหมือนกับโครงการอีอีซีอื่นๆเช่น รถไฟความเร็วสูงสนามบิน และ ท่าเรือ ก็อยู่ในรูปคณะกรรมการบริหารสัญญา 

 

 

ทั้งนี้ สกพอ.ได้ลงนามสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก กับบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด เพื่อร่วมกันลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2563 โดยเอกชนคู่สัญญาได้สิทธิการบริหารพื้นที่ของสนามบินอู่ตะเภา6,500 ไร่ เพื่อเป็นเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพเรือใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตสนามบินและยินยอมให้ สกพอ.ดำเนินการร่วมลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา

 

รวมทั้งเมื่อผ่านการพิจารณาจากที่ประชุม กบอ.ครั้งนี้แล้วจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมในเดือน มี.ค.2565 และหากได้รับอนุมัติ สกพอ.จะดำเนินการจดทะเบียนตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว

 

ด้าน สำนัก สกพอ.อ้างว่า มีฐานะเป็นนิติบุคคลหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีงบประมาณและกฎหมายอื่น โดยมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 กำหนดหน้าที่และอำนาจของ สกพอ.ครอบคลุมถึงการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอีอีซี รวมทั้งสามารถตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอีอีซี

 

นอกจากนี้ กบอ.จะพิจารณาข้อเสนอของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ที่จะเสนอให้ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดงาน “ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชันแนลแอร์โชว์” (Thailand International Air Show) เป็นครั้งแรก ที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งกำหนดกรอบเวลาทุก2 ปี และจะเสนอให้จัดครั้งแรกในปี 2568 ภายใต้แนวคิด Future of Aerospace โดยจะเริ่มเปิดตัวงานในปี 2566 เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องเตรียมตัวเข้าร่วมงาน 2 ปี

 

นอกจากนี้ การจัดงานดังกล่าวจะควบคู่กับการจัดงานประชุมเชิงวิชาการ งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และการจัดงานในปี 2570 จะเป็นการจัดงานที่เต็มรูปแบบ

 

สำหรับโครงการดังกล่าวทีเส็บริเริ่มเตรียมงานมาตั้งแต่ปี 2564 เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดง การค้าด้านอากาศยาน และเป็นการผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของไทยสู่ตลาดโลก 

 

รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมไทยในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนอากาศยานของโลก โดยจากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ระบุว่าในปี 2561 ไทยส่งออกชิ้นส่วนและอุปกรณ์อากาศยานมากถึง3,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเกือบ 1 แสนล้านบาท

 

นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2566-2570 จะมีการจัดงานในโครงการ Aviation & LOG-IN Week ทั้งงานใหม่และงานที่จัดต่อเนื่องจำนวน 28 งานในอีอีซี ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าทางเศรษฐกิจของงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชันแนล แอร์โชว์ในช่วงเวลานั้น ทีเส็บคาดว่าจะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้มากถึง 8,200 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ทีเส็บและ สกพอ.ได้หารือถึงการผลักดันโครงการดังกล่าวมาต่อเนื่อง และประเมินว่าการจัดงานแอร์โชว์จะเป็นอีกก้าวหนึ่งของการประกาศศักยภาพอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว แต่สามารถเป็น Aviation Hub หรือศูนย์กลางด้านธุรกิจการบินอย่างครบวงจร