นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซีพีเอฟ เผยถึง แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 ว่า คาดจะดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา จากการคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย ส่งผลให้มีความต้องการบริโภคมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการขาย ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสังคมรูปแบบใหม่ (New Normal)
ทั้งนี้การคาดการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากซีพีเอฟ ได้รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2564 บริษัทมียอดขายรวม 512,704 ล้านบาท (จากปี 2563 มียอดขาย 589,713 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 13,028 ล้านบาท (จากปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 26,022 ล้านบาท) ซึ่งคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท
สำหรับยอดขายดังกล่าว มีอัตราการขยายตัวลดลงจากปีก่อนร้อยละ 13 เป็นผลจากการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อย เป็นบริษัทร่วมของ Chia Tai Investment Co., Ltd. เมื่อเดือนธันวาคม 2563 หากไม่นับผลกระทบจากการเปลี่ยนสถานะดังกล่าว รายได้จากการขายในปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการระบาดของโรค โดยเฉพาะในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม(หนึ่งในฐานธุรกิจที่สำคัญ) ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานของภาคธุรกิจสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมา ต่ำกว่าปี 2563 มีปัจจัยหลักจากระดับราคาสุกรในเวียดนามและไทยที่ลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลง 5,087 ล้านบาทจากปี 2563 ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมในประเทศจีน แคนาดา และผลการดำเนินงานของ CPALL ที่ลดลง
อนึ่ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นายประสิทธิ์ ได้คาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานของซีพีเอฟปี 2564 จะดีขึ้นจากปี 2563 จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะดีขึ้นตามภาวะของโรคโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง จะส่งผลให้มีความต้องการบริโภคในประเทศต่าง ๆ มากขึ้น และการส่งออกอาหารจากประเทศไทยจะดีขึ้นด้วย รวมถึงผลจากการขยายกำลังการผลิตของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา และการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการขายด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง