ประมงระยองรับ SPRCเยียวยาเบื้องต้น เพิ่มเป็นรายละ 45,000บาท 

วันที่ 1 มี.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน) หรือ SPRC ได้ตั้งโต๊ะจ่ายเงินเยียวยา กรณีผู้รับผลกระทบเหตุน้ำมันรั่วกลางทะเล ให้กลุ่มชาวประมงเกาะเสม็ด ที่โรงเรียนเกาะพิศดาร เกาะเสม็ด ม.4 ต.เพ อ.เมืองระยอง

 

โดยมีนายเสรี เรือนหล้า ประมงจังหวัดระยอง นายอนันต์ คำรอด ผู้แทนบริษัท SPRC เป็นสักขีพยาน โดยได้จ่ายเงินเยียวยาให้ชาวประมงเกาะเสม็ด ซึ่งมีผู้ที่ลงทะเบียนไว้ทั้งหมด จำนวน 36 ราย รายละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,620,000 บาท

นายเสรี เรือนหล้า ประมงจังหวัดระยอง กล่าวว่า เบื้องต้นตนได้รับหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ให้มาประสานงานการจ่ายเงินเยียวยาให้กลุ่มประมงเกาะเสม็ด ซึ่งทางบริษัท SPRC ได้รับข้อเสนอของกลุ่มประมง ซึ่งในขั้นต้นจะจ่ายรายละ 30,000 บาทยังไม่เหมาะสม  จึงเพิ่มวงเงินเยียวยาเบื้องต้นให้เป็นรายละ 45,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยการจ่ายครั้งนี้ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ซึ่งชาวประมงทุกกลุ่มยอมรับเงินจำนวนดังกล่าว

 

ทางบริษัทฯ รับปากว่า หลังจากนี้ก็จะมีการพูดคุยเยียวยากันต่อ ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มประมง ที่มีการเสนอขอรับการเยียวยากันก่อนหน้านี้ ซึ่งในวันนี้ก็ได้เดินทางมาจ่ายให้กลุ่มประมงเกาะเสม็ดเป็นกลุ่มแรก จำนวน 36 ราย ๆ  ละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,620,000 บาท ทั้งนี้ ก็จะมีการทยอยจ่ายเยียวยาให้กลุ่มประมงทุกกลุ่มต่อไป

ด้านนายชาญนะ เอี่ยมแสง  ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวว่า เรื่องการเยียวยาเริ่มมีการทะยอยจ่ายแล้ว โดยกลุ่มประมงนั้นจากเดิมจะจ่าย 30,000บาทในเบื้องต้น แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจและอื่น ๆ ก็เพิ่มมาเป็นจำนวนเงินช่วยเหลือเบื้องต้น รายละ 45,000 บาท

 

ในส่วนที่จะยื่นเงื่อนไขตามคำพิพากษา ทางบริษัทฯ ก็กำลังจะพิจารณา ซึ่งแนวโน้มก็ดีขึ้นเรื่อยๆ  โดยวันนี้เป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยากลุ่มประมงพื้นบ้านกลุ่มแรก คือกลุ่มประมงเรือเล็กเกาะเสม็ด ที่โรงเรียนบ้านเกาะแก้วพิสดาร เกาะเสม็ด

 

อย่างไรก็ตามสำหรับกลุ่มประมงพื้นบ้านระยอง ที่ลงทะเบียนขอรับเงินชดเชยเยียวยา จากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วลงทะเลระยองครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 2,660  ราย จาก 48 กลุ่มประมงพื้นบ้าน รวมเป็นยอดเงินทั้งสิ้นที่ทางบริษัท SPRC เจ้าของน้ำมันดิบรั่วลงทะเล จะต้องจ่ายเงินเยียวยาขั้นต้น เฉพาะกลุ่มประมงพื้นบ้าน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 119.7 ล้านบาท 

โดยในวันที่ 2 มีนาคม 2565 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป  SPRC จะดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มประมงอีก 17 กลุ่ม จำนวน 617 ราย ณ ศูนย์ราชการ จ.ระยอง 

 

ส่วนการจ่ายชดเชยเยียวยาเบื้องต้นกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ อาทิ พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอย และอาชีพอื่น ๆ บริเวณหาดแม่รำพึงและตลาดบ้านเพ อ.เมือง จ.ระยอง ได้เข้าคิวรอรับเงินตั้งแต่เช้า ร้อยละ 90 พึงพอใจกับจำนวนเงินที่รับ โดยเจ้าหน้าที่ SPRC ตั้งโต๊ะตรวจสอบเอกสารและจ่ายชดเชยเยียวยา ที่อาคารเอนกประสงค์ เทศบาลบ้านเพ ตั้งแต่เช้าวันที่ 27 ก.พ. 2565  ซึ่งเป็นวันที่สองอย่างคึกคัก

นายไพรัตน์ อรุณเวสสะเศรษฐ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านเพ กล่าวว่า เทศบาลบ้านเพ ได้รับรองผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วรอบแรก จำนวน 570 กว่าราย  จากทั้งหมดที่ลงทะเบียนในพื้นที่เทศบาลเพ ที่จำนวน 2,800 กว่าราย แบ่งเป็นรอบเช้า 300 ราย และรอบบ่ายอีก 270 กว่าราย

 

แต่ละรายจะได้รับเงินรอบแรกจำนวน  15,000 บาท 24,000 บาท หรือ 30,000 บาทขึ้นอยู่กับอาชีพและขนาดของกิจการ  และไม่ตัดสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้อีก ซึ่งจากการสอบถามผู้ได้รับผลกระทบกว่าร้อยละ 90 พึงพอใจที่ได้รับเงินในครั้งนี้ มีเพียง  60 กว่ารายเท่านั้น ที่บอกว่าได้รับเงินต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้  

 

นางสาววันทนา ไชยวัฒน์ อายุ 67 ปี แม่ค้าขายอาหารทะเลแห้ง ตลาดบ้านเพ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับเงินเยียวยา ถึงจะเป็นจำนวนที่น้อยแต่ก็ยินดีที่ได้มา จะได้นำไปเป็นทุนในการประกอบอาชีพต่อไป  

 

ด้านคุณ ธันย์ชนก มาตรนอก เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดชื้อ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มเยียวยาอาชีพอื่น ๆ บริษัท SPRC  กล่าวว่า จากข้อตกลงร่วมกันของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กำหนดจ่ายเงินให้กับผู้ได้รับผลกระทบ ที่ผ่านการรับรองจากเทศบาล หรือ อบต. ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 ส่วนจำนวนเงินที่จ่ายให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ และบริษัท SPRC 

 

โดยในวันนี้เป็นวันที่สองของการจ่ายเงินให้กับกับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า และอาชีพอื่นๆ ในพื้นที่สีแดง หรือเขตเทศบาลบ้านเพ และ ต.ตะพง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่พบปัญหาและอุปสรรคใดๆ นอกจากอาจเกิดความล่าช้าในการเข้าคิวรอรับเงินเท่านั้น  เนื่องจากจำนวนผู้มารับเงินค่อนข้างมาก อาจใช้เวลานานเล็กน้อย  

 

ล่าสุด มีผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว ยื่นเรื่องของรับเงินชดเชย ทั้งหมด 9,581 ราย ประกอบด้วยกลุ่มประมงพื้นบ้าน 3,304 ราย กลุ่มโรงแรมที่พัก/ร้านอาหาร 765 ราย และอาชีพอื่น 5,512 ราย