นายธเนศ พิริย์โยธินกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการค้า พัฒนาธุรกิจ และ การลงทุน JWD Group และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี ทรานสปอร์ต จำกัด / บริษัท แอลฟ่า อินดัสเตรียล โซลูชั่น จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากเป้าหมายธุรกิจภายใน 5 ปี กลุ่ม JWD จะสร้างรายได้แตะ 1 หมื่นล้าน พร้อมทำกำไร 15%
บริษัทฯ จึงปรับโครงสร้างธุรกิจโลจิสติกส์ และ กลุ่ม Industrial Property ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคอุตสาหกรรม อาทิ คลังสินค้า โลจิสติกส์พาร์ค และ นิคมอุตสาหกรรม 2 ใน 5 ธุรกิจกลัก ซึ่งปีนี้จะเดินหน้าเต็มที่ ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตในอนาคตต่อไป
สำหรับธุรกิจขนส่ง หรือ โลจิสติกส์ ได้มีการปรับโครงสร้างดึงส่วนงานโลจิสติกส์ที่เดิมไม่ได้เป็นธุรกิจหลัก แต่จะแทรกอยู่ในทุกธุรกิจของกลุ่ม JWD ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจห้องเย็น ธุรกิจคลังสินค้า หรือธุรกิจในต่างประเทศ เพราะทุกธุรกิจมีการจัดส่งสินค้า และกระจายสินค้าอยู่แล้ว ดึงออกมาทำ Business Restructuring มารวมกับบริษัทขนส่งที่มีอยู่แล้ว รับสายธุรกิจมาเป็น 7 ขา
เช่น ขนส่งสินค้าทั่วไป ขนส่งสินค้าข้ามแดน ขนส่งสินค้าเครื่องจักรขนาดใหญ่ ขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ขนส่งแบบ Multimodal ขนส่งAutomotive และขนส่งสินค้าเคมีและสินค้าอันตราย ที่ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ
ปี 2564 JWD ได้ เข้าซื้อกิจการและร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทต่างๆ เพื่อวางรากฐานขยายฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง อาทิ การซื้อธุรกิจ บริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด การเข้าลงทุนในESCOผู้ให้บริหาร Port Terminal & ICD การสร้างฮับกระจายสินค้าห้องเย็นตามหัวเมืองเศรษฐกิจ เพื่อสร้าง New S-Curve ปั้นกลุ่มขนส่งวางแผนขยายธุรกิจสู่ผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรทุกรูปแบบทั้งทางบก ทางราง และ ระหว่างประเทศ เสริมศัยภาพการขนส่งแบบ Multimodal Transportation
"ปีนี้เป็นปีแรกของโครงสร้างใหม่ในกลุ่มธุรกิจขนส่ง เราวางแผนว่าอีกภายใน2 ปีข้างหน้า เราจะนำบริษัทกลุ่มขนส่งเข้าตลาดฯ อันนี้จึงเป็นการวางมายด์สโตน สร้างบิซิเนสโพรฟายด์ ทำโปรเจคใหม่ๆ เช่น การขนส่งข้ามแดน ที่มีการขนส่งข้ามแดนทั้งทางบกและทางรางเข้าไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างหลากหลาย เช่น มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ จีน เวียดนาม" นานธเนศกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะทำ M&A (Mergers and Acquisitions) เพิ่มเติมอีกในอนาคต เพื่อทำให้โครงสร้างธุรกิจการขนส่งให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เช่น ธุรกิจขนส่งข้ามแดน และธุรกิจอื่นๆที่จะมาซัพพอร์ตเน็ตเวิร์คการขนส่งทางรางในอนาคต ซึ่งจะเป็นการ M&A กับบริษัททั้งในและต่างประเทศ
ส่วนธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทางด้านอุตสาหกรรม ปีที่แล้ว มีการร่วมทุนกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “ALPHA” บริษัท แอลฟ่า อินดัสเตรียล โซลูชั่น จำกัด ร่วมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น Top 3 ด้วยพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางเมตร ผ่านการพัฒนาเองและการควบรวมกิจการ พร้อมมูลค่า REIT กว่า 12,000 ล้านบาท เดินเครื่องรุกพื้นที่แหล่งนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ควบคู่การขยายกิจการในเวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ในอนาคต ชูจุดแข็งบริการเฉพาะทาง หวังเจาะลูกค้ากลุ่มอาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เคมีภัณฑ์ สินค้าอันตราย กลุ่มธุรกิจe-Commerce รวมทั้งการพัฒนาลงทุนระบบAutomation โดยเริ่มโครงการแรกย่านบางนา กม.22 พื้นที่ประมาณ 2.1 หมื่นตารางเมตร โดยคลังสินค้าแห่งนี้คาดจะนำเข้ากอง REIT ได้ประมาณไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ หลังจากนั้น คลังอื่นๆ ก็จะทยอยเข้ากอง REIT ไปเรื่อยๆ โดยคาดว่าจะสร้างคลังสินค้าใหม่ๆ ได้ต่อเนื่องปีละ 2-3 แสนตารางเมตร
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังขยายการลงทุนใน 2 ประเทศ หลัก ได้แก่ เวียดนาม และ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความต้องการอสังหาริมทรัพย์นิคมอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง ทั้ง คลังสินค้า โลจิสติกส์พาร์ค ต่างๆ ผ่านการทำงานร่วมกันกับ Transimex Group ในประเทศเวียดนาม และ Samudera Group ในประเทสอินโดนีเซีย ซึ่งได้ร่วมมือทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์อยู่ในปัจจุบัน
"ทั้ง 2 บริษัทนี้ก็มีไลน์อสังหา อยู่ในธุรกิจของเขา แม้จะไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ก็มีไลน์ธุรกิจ ที่สามารถเข้ามาช่วยเราผลักดันการเติบโตธุรกิจเหล่านี้ในต่างประเทศได้ ทั้งหมดนี้คือแผนของบริษัท อัสฟ่า อินดัสเทรียล โซลูชั่น" นายธเนศกล่าว
JWD ยังร่วมกับพาร์ทเนอร์อื่นๆ อีก เช่น การลงทุนในสตาร์ทอัพ MyCloud Fulfillment สตาร์ทอัพด้านคลังสินค้าออนไลน์สัญชาติไทย มูลค่า 7.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 250 ล้านบาท และลงทุนใน FoodStory ผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการร้านอาหารแบบครบวงจร รวมไปถึงความร่วมมือกับ บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด และ ไปรษณีย์ไทย ตั้งบริษัท “ฟิ้วซ์ โพสต์” (FUZE POST) ธุรกิจขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน (Cold Chain Express) เพื่อรุกธุรกิจ Cold Chain Logistics เต็มที่
ปี 2565 จะเป็นปีที่ JWD Group พยายามทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดใน 5 ธุรกิจ และโฟกัสชัดเจนว่า ควรจะโตกลุ่มไหน ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจ เป็นตลาดที่ทำกำไรได้ดี มีโอกาสเติบโตสูง
หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,762 วันที่ 3 - 5 มีนาคม พ.ศ. 2565