สถานการณ์ยุคราคาน้ำมันแพง ทำให้คนไทยใช้ชีวิตได้ยากลำบากมากขึ้น เพราะด้วยค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น จนกระทบต่อรายจ่ายที่จำกัดในแต่ละวัน ยิ่งส่งผลกระทบต่อการหาเงินสำรองเอาไว้ใช้ในยามบั้นปลายของชีวิต ยิ่งปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย การออมเงินจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนไม่ควรลืม
เมื่อไม่นานมานี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยข้อมูลทางด้านภาวะสังคมไทย โดยระบุถึงผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจจากโครงสร้างประชากรของไทยที่เป็นสังคมสูงวัยมากขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง แยกเป็นช่วงปี ดังนี้
อีกทั้งโครงสร้างประชากรที่มีวัยแรงงานลดลงจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งให้เศรษฐกิจให้หดตัวลงเฉลี่ยประมาณ 0.5% ต่อปี
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งสร้างโอกาสการปันผลทางประชากรครั้งที่ 2 ของไทย (โอกาสทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการสั่งสมความมั่งคั่ง ซึ่งความมั่งคั่งต่อหัว (Wealth per Capita) สามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น) จะเป็นไปได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ ในประเด็นการขาดดุลรายได้ ภาระทางการคลัง การจัดสรรงบประมาณ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจแล้ว สศช. ยังนำบัญชีกระแสการโอนประชาชาติ (NTA) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถสะท้อนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรได้อย่างรอบด้าน
พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับการหารายได้และการใช้จ่ายของประชากรแต่ละช่วงวัย รวมทั้งการดำเนินงานของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบนโยบายและมาตรการเตรียมพร้อมรับมือในมิติต่างในอนาคตมาวิเคราะห์
โดยสามารถนำมาใช้ในการวางแผนทางการเงินของประชาชนได้อีกด้วย จากข้อมูลการใช้จ่ายตลอดช่วงวัยทำให้ทราบว่า หากวัยแรงงานต้องการวางแผนเกษียณที่จะอยู่ได้จนถึงอายุ 90 ปี ต้องมีค่าใช้จ่าย 3.1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่รัฐสนับสนุน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริโภครองรับการวางแผนเกษียณอายุของตนเอง
สำหรับประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อรับมือกับผลกระทบดังกล่าว สศช. มีข้อเสนอ 4 ข้อ ประกอบด้วย
1. การเพิ่มรายได้เป็นสิ่งสำคัญที่จะบรรเทาการขาดดุลรายได้ และอาจช่วยยกระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการยกระดับรายได้ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ ดังนี้
2. การชดเชยการขาดแคลนของแรงงานผ่านการดึงกลับแรงงานไทยทักษะสูงในต่างประเทศและการนำเข้าแรงงานต่างชาติทักษะสูง เช่น
3. การสร้างความเข้มแข็งทางการเงินของครัวเรือน จากบทบาทของภาคเอกชนที่เป็นกลไกหลักในการชดเชยการขาดดุลรายได้ตามช่วงอายุ ซึ่งในอนาคตแนวโน้มการขาดดุลรายได้จะสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการสร้างความเข้มแข็งทางการเงินของครัวเรือน ซึ่งจะต้องมีแนวทางในการส่งเสริมและผลักดันอย่างจริงจัง เช่น
4. การปรับปรุงระบบการคลังของประเทศเพื่อสร้างสมดุลทางการคลังและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน หลังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรได้ส่งผลให้ภาระทางการคลังของภาครัฐ รวมถึงหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น แต่รายได้ของภาครัฐจากการจัดเก็บภาษีลดลง จึงจำต้องให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ เช่น