ค่าเอฟที คืออะไร เริ่มเป็นคำถามที่ประชาชนเริ่มสงสัย หลังจากที่สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 65 เพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 23.38 สตางค์ เป็นเรียกเก็บค่าเอฟที 24.77 สตางค์
เมื่อค่าเอฟทีไปรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาท ทำให้เรียกเก็บค่าไฟเฉลี่ยเท่ากับ 4 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้ดำเนินการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับค่าเอฟที พบว่า
ค่าเอฟที (FT) คือ ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ โดยเป็นสูตรการปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้น หรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ,อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่มีผลต่อราคาเชื้อเพลิงที่ใช้อ้างอิง เช่น
ราคาก๊าซธรรมชาติ การนำเข้าเชื้อเพลิงทั้งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดีเซล ราคาน้ำมันเตา ,ประมาณการปริมาณการใช้ไฟฟ้าล่วงหน้า ขึ้นอยู่กับสถิติการใช้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และฤดูกาล และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ
สำหรับการปรับค่าเอฟนั้น จะมีการพิจารณาทุก 4 เดือน เพื่อเป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ที่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย
โดยผู้มีหน้าที่ในการพิจารณา คือ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
ค่าเอฟที ถือเป็นส่วนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของโครงสร้าง อัตราค่าไฟฟ้า ที่ กกพ. ใช้คิดคำนวณตามสูตร เพื่อเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้า ที่ประกอบไปด้วย ค่าไฟฟ้าฐาน (คงที่ 3.76 บาทต่อหน่วย) + ค่าเอฟที (เปลี่ยนแปลงทุก 4 เดือน) + ภาษีมูลค่าเพิ่ม (คงที่ 7%)
อย่างไรก็ดี ล่าสุด กกพ. มีมีติประกาศค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชน 4 บาทต่อหน่วย เป็นอัตราที่แพงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากการทยอยปรับขึ้นค่าเอฟทีแบบขั้นบันได 1.39 สตางค์ เพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 23.38 สตางค์ เป็นเรียกเก็บค่าเอฟที 24.77 สตางค์ เมื่อค่าเอฟทีไปรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาท ทำให้เรียกเก็บค่าไฟเฉลี่ยเท่ากับ 4 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ในฐานะโฆษก กกพ. ระบุว่า หากไม่มีการบริหารจัดการแบบขั้นบันได งวดนี้ต้นทุนที่สะท้อนข้อเท็จจริง ต้องปรับสูงถึง 1.29 บาทต่อหน่วย ทำให้ต้องเรียกเก็บจากประชาชนสูงถึง 5-6 บาทต่อหน่วย แต่เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาระประชาชนมากเกินไป จึงทยอยปรับแบบขั้นบันได
ส่วนสาเหตุที่ค่าเอฟทีเพิ่มสูงมากเกิดจากราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงมากเป็นประวัติการณ์จาก
ขณะที่แนวโน้มค่าไฟในระยะข้างหน้านั้น นายคมกฤช กล่าวว่า ค่าเอฟทีในช่วงต่อไป คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน สะท้อนการใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติมาผลิตไฟจากเริ่มต้นที่ 8% ในช่วงปี 54 จนถึงปี 64 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 33% และปัจจุบันเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% จึงทำให้แนวโน้มค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กกพ.ได้คาดการณ์แนวโน้มค่าไฟงวดที่เหลือจนถึงงวดแรกปี 66 โดยระบุว่า จากการบริหารขึ้นแบบขั้นบันไดในงวดถัดไปคือ ก.ย.-ธ.ค.65 จะต้องปรับขึ้นไปอยู่ที่ 64.83 สตางค์ต่อหน่วยหรือขึ้นประมาณ 40 สตางค์ต่อหน่วย และงวด ม.ค.-เม.ย.66 จะต้องปรับขึ้นไปอยู่ที่ 110.82 สตางค์ต่อหน่วย หรือขึ้นอีกประมาณ 46 สตางค์ต่อหน่วย
ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้หากราคาน้ำมันและก๊าซฯมีการปรับลงไปจากสมมติฐานเดิมที่วางไว้แต่หากยังเฉลี่ยสูงเช่นปัจจุบันราคาก็จะคงอยู่ในระดับดังกล่าว