ไทยเป็นประเทศที่เติบโตมาจากภาคเกษตรกรรม ทำให้ “ภาคเกษตร” กลายเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญที่สุดในประเทศ และเกษตรกรที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ได้รับการยกย่องว่าเป็น กระดูกสันหลังของชาติ แต่เกษตรกรส่วนใหญ่กลับยากจน ต้องประสบกับปัญหาเดิมซ้ำ ๆ ทั้งผลผลิตตกต่ำ และราคาผันผวน กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย
ในภาคปศุสัตว์ต้องประสบกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2563 ที่ผ่านมา ยิ่งในสถานการณ์สงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งต่างเป็นผู้ผลิตและส่งออกธัญพืชรายใหญ่ของโลก กลายเป็นปัจจัยหนุนส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นจากการขาดแคลน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวสาลี ปัจจุบันทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลีมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 13 บาท ส่วนกากถั่วเหลืองจากเมล็ดนำเข้าราคาขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 23 บาท จากปกติมีราคากิโลกรัมละ 10 กว่าบาท
ขณะเดียวกัน เกษตรกรยังมีต้นทุนด้านการบริหารจัดการในโรงเรือน ทั้งปัญหามีน้ำไม่เพียงพอ ต้องซื้อน้ำ และต้องมีขั้นตอนปรับคุณภาพน้ำให้สะอาดก่อนนำมาใช้ในโรงเรือน และยังมีค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการต้องเปิดระบบปรับอากาศ (EVAP) ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าฤดูกาลอื่น ๆ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในโรงเรือน กลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เกษตรกรต้องเผชิญ และค่าใช้จ่ายจะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเพราะค่าเอฟทีที่ปรับขึ้นอีกครั้งในเดือน พ.ค.นี้ นอกจากนี้ ยังมีค่าพลังงานที่สูงขึ้นกระทบโดยตรงต่อการขนส่ง
ขณะที่ราคาขายผลผลิตของเกษตรกร เพียงแค่ช่วยต่อลมหายใจให้พอมีทุนในการเดินหน้าอาชีพต่อไปเท่านั้น ไม่ได้สามารถสร้างผลกำไรให้เกษตรกรร่ำรวย
ขณะที่สภาพอากาศร้อน-แล้ง ในฤดูร้อน ที่มักมีพายุฝน เริ่มส่งผลกับบางพื้นที่ที่กำลังประสบกับปัญหาอากาศแปรปรวน ทั้งร้อนขึ้น และอาจมีอุณหภูมิต่ำลงในช่วงค่ำถึงรุ่งเช้า ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญทั้งต่อไก่เนื้อ ไก่ไข่ และสุกร โดยสัตว์จะมีอาการเครียดและให้ผลผลิตลดลง อาจเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เพราะจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ การกินอาหารลดน้อยกว่าปกติ ทำให้การเติบโตต่ำกว่ามาตรฐาน เมื่อสุขภาพไม่ดีจึงติดโรคได้ง่าย มีอัตราการตายแบบเฉียบพลันเพิ่มขึ้น
ในส่วนของแม่ไก่ไข่ นอกจากผลกระทบจากสภาพอากาศแล้ว ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการปลดแม่ไก่ยืนกรงตามรอบเป็นจำนวนมาก ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรปรับลดลงจากช่วงปกติ 10-20 % แม้ว่าในเดือนมีนาคมนี้จะมีการปลดแม่ไก่ยืนกรงลดลง โดยปริมาณไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดในปัจจุบันมีประมาณ 40 ล้านฟองต่อวัน
สำหรับสุกร แม่สุกรอุ้มท้องมักมีอาการแท้ง ลูกสุกรเสียหาย มีเปอร์เซ็นต์เข้าคลอดต่ำ กลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ลูกสุกรมีอาการอ่อนแอ อาจตายระหว่างแม่เลี้ยงลูก ปริมาณลูกสุกรหย่านมจะน้อยลง เมื่อนำเข้าเลี้ยงเป็นสุกรขุน จะทำให้ช่วงนี้มีสุกรขุนเข้าสู่ตลาดลดน้อยลง เชื่อว่าจะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้สถานการณ์ต้นทุนสูงรุนแรงขึ้น ตามคาดการณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ที่ประเมินว่า ต้นทุนการผลิตสุกรไตรมาสที่สองของปีนี้จะสูงถึงกิโลกรัมละ 98.81 บาท
ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เป็นปัญหาที่เกษตรกรต้องเผชิญแทบทุกปี ซึ่งเป็นผลจากราคาที่ไม่สามารถสะท้อนดีมานด์ และซัพพลายที่แท้จริง เกษตรกรขายสินค้าได้ในราคาต่ำ โดยปัจจุบันสินค้าปศุสัตว์ที่สำคัญ อาทิ ไก่เนื้อมีต้นทุนอยู่ที่กิโลกรัมละ 39-40 บาท ไข่ไก่มีต้นทุนอยู่ที่ 3.10-3.24 บาทต่อฟอง แต่ราคาขายจริงของสินค้าปศุสัตว์เหล่านี้ จะมีกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ควบคุมและขอความร่วมมือเกษตรกรให้ตรึงราคาไว้ ไม่สามารถขายในราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้
วันนี้รัฐรู้ดีว่า ทุกข์เกษตรกรคืออะไร ทั้งต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์แพง วิกฤตยูเครนเข้ามาซ้ำเติมปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ภัยแล้ง อากาศร้อน เป็นปัญหาเบื้องหน้า ที่รุมเร้าเข้ามาประชิดตัวเกษตรกรในขณะนี้ ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตที่จะลดลง ในขณะที่การบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่ใกล้จะถึง แน่นอนว่าราคาจะปรับตามดีมานด์-ซัพพลายที่แท้จริง
เรื่องนี้ ทั้งผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำความเข้าใจในประเด็น “กลไกตลาด” และปล่อยให้กลไกตลาดได้ทำงานอย่างเสรี ให้ราคาขายสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง จะเป็นทางออกให้เกษตรกรผู้ผลิต ที่จะสามารถอยู่ได้ในวิกฤตต้นทุนสูงเช่นนี้