รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยทักษิณ เปิดเผยว่า โครงการวิจัยและพัฒนาการแก้ไขปัญหาความยากจน แบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำของมหาวิทยาลัย ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยจัดทำในพื้นที่จังหวัดพัทลุง
โครงการนี้มีกิจกรรมหลัก 4 เรื่อง เรื่องแรกคือ การสอบทานข้อมูลคนจนในระบบ TP-MAP เรื่องที่สองคือ การส่งต่อการช่วยเหลือคนจนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่สามคือ การติดตามข้อมูลการส่งต่อการช่วยเหลือที่ส่งไปให้หน่วยงานต่าง ๆ และเรื่องสุดท้ายคือ การจัดทำโครงการ “โมเดลแก้จน”
หลังจากที่ทีมวิจัยได้สอบทานข้อมูลคนจนในจังหวัดพัทลุง จากฐานข้อมูลระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TP-MAP) จำนวน 13,902 ครัวเรือน พบคนจนจำนวน 14,342 คน ทีมวิจัยจึงได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างละเอียดทั้ง 11 อำเภอ ภายใน 73 พื้นที่ ครอบคลุม 65 ตำบล และ 8 เขตเทศบาล คิดเป็น 100 % ของพื้นที่จังหวัดพัทลุง เพื่อบันทึกลงในระบบ PPP-connext โดยพบว่ามีครัวเรือนยากจนจำนวน 14,205 ครัวเรือน และค้นพบคนจนรวมทุกครัวเรือนจำนวน 59,449 คน ทั้งนี้ พื้นที่ที่มีคนจนกระจุกตัวอยู่มากที่สุดของจังหวัดพัทลุงคือ อ.ควนขนุน อ.เมือง และ อ.ปากพะยูน
“กลุ่มคนจนที่เราให้ความสำคัญคือ กลุ่มคนจนระดับอยู่ลำบากและกลุ่มคนจนอยู่ยาก โดยพัทลุงในภาพรวม ทุนมนุษย์ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.85 ก็ถือว่าอยู่ยาก ทุนทางสังคมเช่น การรวมกลุ่มการช่วยเหลือ ความขัดแย้ง ฯลฯอยู่ที่ 1.53 ก็ถือว่าอยู่ระดับน้อยก็อยู่ลำบาก ส่วนทุนกายภาพ ทุนทางเศรษฐกิจหรือทุนทรัพยากรธรรมชาติถือว่าอยู่ระดับที่ประมาณ 2.7 และ 2.8 ถือว่าพออยู่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มาที่เราเลือกทำที่ 3 อำเภอนี้”
สำหรับ “โมเดลแก้จน หรือ “กระจูดแก้จน” ที่ อ.ควนขนุนถือเป็นโครงการนำร่อง ภายใต้หลักคิดของการผสมผสานเรื่ององค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น เข้ากับระบบภูมินิเวศน์ และองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัย ทั้ง 3 ส่วนนี้เข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนเพื่อการแก้ไขปัญหาคนจนได้อย่างมีศักยภาพและมีพลัง
“โครงการนี้เราให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนและการแสดงออก โดยกลุ่มคนจนเป้าหมายที่จะเข้ามาเป็นผู้ออกแบบหรือวางแผน เพื่อจัดทำกิจกรรมด้วยพลังและกระบวนการกลุ่มที่เขาจัดทำขึ้น ซึ่งเราเชื่อมั่นว่ากระบวนการปลุก จะทำให้เกิดการเสริมแรง แล้วก็เสริมพลัง และเติมความมั่นใจ ให้กลุ่มพี่น้องคนจนเหล่านี้ได้แสดงออกแล้วก็ร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้
นอกจากนี้ยังเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับกลุ่มคนจนเป้าหมาย รวมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างกิจการ"กระจูดวรรณี" ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง ในการนำเอากระจูดไปเผยแพร่จนเป็นที่โด่งดัง ทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐในระดับจังหวัดที่เข้ามาร่วมกันเติมเต็ม”
ดร.ณฐพงศ์ กล่าวต่อว่า การเติมความคิด เติมพลัง และเติมความตั้งใจให้กับกลุ่มคนจนเป้าหมาย เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เพราะการไปสร้างพื้นที่ที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่ม จะทำให้ชาวบ้านเกิดพลังและความมั่นใจว่า เขาสามารถที่จะพึ่งพาตนเองได้แล้วก็ช่วยเหลือกันเองได้ในกลุ่ม
ประเด็นต่อมาเป็นเรื่องการ Reskill และ Upskill ต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านการออกแบบลวดลายใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยมอบหมายให้อาจารย์จากคณะศิลปกรรม ผู้ออกแบบท่าร่ายรำมโนราห์ในท่าต่าง ๆ และจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาไว้ นำไปถ่ายทอดใส่ไว้ในลวดลายของการสานงานผลิตภัณฑ์กระจูด
ฉะนั้นจึงมีทั้งลายเก่าดั้งเดิมที่เป็นที่นิยม กับลายที่ผ่านการประยุกต์ดัดแปลง ให้มีความเหมาะสมต่อรสนิยม หรือว่ามีความทันสมัยมากขึ้น รวมถึงการให้ความรู้ในเรื่องของการใช้สีจากธรรมชาติ เช่น สีจากดิน สีจากดอกบัว การย้อมสีแล้วไม่หลุดลอก ไม่ให้สีซีดหรือสีจาง ด้วยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่เข้าไปเติมให้
“ความจริงชุมชนทะเลน้อยเขามีกิจกรรมสานเสื่อสานกระจูดแบบง่าย ๆ เพื่อขายกันในท้องถิ่นอยู่แล้ว แต่พอทีมวิจัยเข้าไปส่งเสริมเรื่องการรวมกลุ่ม ใช้พลังกลุ่มในการสร้างความร่วมมือ และยกระดับคุณภาพของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น มันก็สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ อย่างชาวบ้านกลุ่มที่เราเข้าไปส่งเสริม จะมีรายได้ในระดับครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่าตัว และพวกเขาก็ไปตั้งกลุ่มชื่อว่า “กลุ่มเลน้อยคราฟท์” มีการทำเพจ นำสินค้าไปขายในช่องทางออนไลน์ มีการไลฟ์สด ทำกันเองจนทุกวันนี้เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น”
รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยทักษิณ ยังได้กล่าวต่อว่า นอกจากการหนุนเสริมของภาคีในพื้นที่โดยเชื่อมโยงความร่วมมือกับทั้งภาคเอกชน และหน่วยราชการในพื้นที่ เป็นห่วงโซ่ของความร่วมมือกัน เพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นโจทย์วิจัยที่สำคัญ
ขณะนี้ทีมวิจัยพยายามที่จะจัดการ chain ความร่วมมือให้มากขึ้น เช่น ไม่ทำแค่เรื่องคนสานกระจูด แต่เรากลับไปดูที่ต้นน้ำ เรื่องของการปลูกกระจูดในพื้นที่ที่ถูกปล่อยรกร้างว่างเปล่า หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์
“คนทะเลน้อยไม่สามารถทำนากระจูดได้เพียงพอกับกำลังการผลิต เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ ปัญหานกทำลายหัวกระจูด และพื้นที่หลายส่วนอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ชาวบ้านจำต้องซื้อกระจูดจากที่อื่น ดังนั้น แนวทางการเพิ่มกระจูดในพื้นที่ทะเลน้อย คือ การหาหน่วยงานพันธมิตร และชุมชนพันธมิตร
โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพัทลุง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องการปลูกกระจูดและพันธุ์กระจูด ได้ทำแปลงกระจูดต้นแบบ จำนวน 2 ไร่ และร่วมดำเนินการนำร่องปลูกกระจูดจำนวน 6 สายพันธุ์ เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ ในพื้นที่ของศูนย์ศิลปาชีพร่วมกับชุมชนพันธมิตร กลุ่มวิสาหกิจบ้านหัวป่าเขียว (หมู่ 7)
กระบวนการปลูก ใช้แนวทาง บูรณาการความรู้ คือ นำภูมิปัญญาชาวบ้านมาผสานกับความรู้ทางวิชาการ แล้วก็นำมาสู่กลางน้ำก็คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และก็ปลายน้ำไปทำเรื่องตลาด ทำให้การแก้ไขปัญหาความยากจนสามารถกระจายรายได้ไปสู่คนกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น”
สำหรับการสร้างนวัตกรในชุมชน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในพื้นที่ รศ. ดร.ณฐพงศ์ กล่าวว่า จากตัวเลขของคนที่เข้าร่วมโครงการจากประมาณ 50 ครัวเรือน เชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นนวัตกรกลุ่มแรกที่จะเป็นตัวเร่ง แล้วก็ขยายฐานที่นำไปสู่กลุ่มคนจนเป้าหมายในพื้นที่อื่น ๆ ในทะเลน้อยที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ หรือว่าที่ยังครอบคลุมไปไม่ถึง
โดยพบว่ากลุ่มคนที่มาร่วมโครงการจะมีทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนรุ่นกลาง และกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มคนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา หากสามารถผสมผสานศักยภาพของคน 3 รุ่นนี้ได้ จะเป็นพลังอันมหาศาลมาก
ซึ่งได้บทเรียนจากกลุ่มที่จะประสบความสำเร็จ เช่น ในการทำผลิตภัณฑ์เลน้อยคราฟท์ออกมา ช่วงทดลองไลฟ์สดขายทางออนไลน์ปรากฏว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ทำได้ดีมาก ๆ เพราะมีทักษะด้านไอที-เทคโนโลยี ในขั้นตอนการทำลวดลายคนรุ่นใหม่อาจจะไม่เก่ง และคล่องเท่ากับคนรุ่นอาวุโส เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.ณฐพงศ์ ยังได้กล่าวถึงเรื่องของตลาดผลิตภัณฑ์กระจูดว่า ขณะนี้ผลิตภัณฑ์หลักเฉพาะกลุ่มที่มหาวิทยาลัยลงไปส่งเสริม จะขายในรูปของออนไลน์เป็นหลัก จากเดิมในช่วงก่อนโควิดระบาดอาจจะมีกลุ่มต่าง ๆ แต่ตอนนี้เนื่องจากนักท่องเที่ยวในพื้นที่ไม่มี จึงเน้นขายทางออนไลน์เป็นหลัก สำหรับตลาดในต่างประเทศยังไม่ได้เปิด เนื่องจากทุกวันนี้ลำพังตลาดออนไลน์ที่กลุ่มทำแล้วขาย ก็ยังผลิตไม่ค่อยจะทัน
ขณะที่นางบุษรา ทองนวล ประธานชุมชนทะเลน้อย จ.พัทลุง กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทาง บพท.ตลอดถึงมหาวิทยาลัยที่ได้มอบสิ่งดี ๆ ให้กับชุมชนทะเลน้อย ก่อนที่ทีมทำงานวิจัยเข้ามาชาวบ้านที่นี่เขาก็ประกอบอาชีพในการทำจักสานกระจูดแต่ไม่มีวัตถุดิบ จึงต้องสั่งซื้อวัตถุดิบจากจังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอชะอวด โดยผ่านพ่อค้าคนกลาง เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าวัตถุดิบแล้วจะเหลือประมาณไม่เกินวันละ 150 บาทเท่านั้น
ขณะที่สภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชนจะมีรายได้น้อย ส่วนมากจะไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเสริม จะมีบ้างก็เป็นอาชีพก่อสร้าง หรือบางรายผู้สูงอายุจะออกไปทำงานไม่ได้ จึงต้องส่งลูกหลานออกไปทำงานแทน ทำให้ลูกหลานก็ไม่ได้เรียนหนังสือ
ทางมหาวิทยาลัยได้เข้ามาให้ความรู้กับทางชุมชน ตั้งแต่เริ่มแรก คือสอนเรื่องการคัดเส้นใยกระจูดก่อน การย้อมสีธรรมชาติ ส่วนเรื่องการสานขึ้นรูปกระเป๋า ก็จะมีการสอนจากบรรดาผู้สูงอายุ โดยมีอาจารย์ให้ความช่วยเหลือด้านการทำตลาด และวรรณีกระจูดทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง นำสินค้าไปช่วยโปรโมท รวมทั้งยังมีการสอนเรื่องการขายทางออนไลน์ และการไลฟ์สดขายสินค้า ให้ด้วย
ผลจากการเข้าร่วมโครงการวิจัยกับมหาวิทยาลัย ทำให้คนในชุมชนทะเลน้อยมีรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว จากที่เคยได้อยู่ 4,500 บาทต่อเดือน เมื่องานวิจัยเข้ามามีอาจารย์เข้ามาช่วย ทำให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มเป็นหมื่นบาท
อีกประการคือ เป็นการผสมผสานระหว่างวัยในการทำงานได้ดีมาก งานบางอย่างถ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่อายุระหว่าง 14-15 ปี ที่เขาไม่ได้เรียนหนังสือก็จะทำไม่เป็น ถ้าหากไม่มีผู้สูงอายุที่ชำนาญในการทำเข้ามาช่วย ซึ่งพื้นฐานของกลุ่มผู้สูงอายุดั้งเดิมเขาจะสานกระเป๋า สานเสื่อ จึงสามารถสอนให้บรรดาลูกหลานหรือคนหนุ่มคนสาวได้
ประการสำคัญที่สุดคือ งานวิจัยยังช่วยในเรื่องของสุขภาพ เดิมงานสานกระเป๋าหรือสานเสื่อก็ดี มักจะนิยมใช้สีเคมีในการผลิต ซึ่งสีเหล่านี้จะทำลายสุขภาพ แต่สีธรรมชาติซึ่งเราสามารถหาได้ในพื้นที่ทะเลน้อย เรียกว่ามันดีต่อคนที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง