นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 4 กับนายเหวียน ห่ง เซียน (H.E. Mr. Nguyen Hong Dien) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ของประเทศเวียดนามว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม เมื่อปีที่แล้วมีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้มีการตั้งเป้าปี 2025 จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยในการประชุมวันนี้(20เมษายน) ฝ่ายไทยได้เสนอขอความสนับสนุนจากทางเวียดนามหลายประเด็นเช่นขอให้ทางการเวียดนามช่วยเจรจากับรัฐบาลจีนในฐานะประเทศที่มีชายแดนติดกัน เพื่ออำนวยความสะดวกการส่งผลไม้ไทยผ่านด่านเวียดนามไปจีน เช่น 1.ด่านโหย่วอี้กวานของจีน ที่ ปัจจุบันเปิดทำการตั้งแต่ 8.00-19.00 น. ขอให้เวียดนามช่วยเจรจากับจีนให้เปิดเป็น 24 ชั่วโมง
ชั่วโมง 2.ด่านรถไฟผิงเสียงกับด่านรถไฟด่งดังของเวียดนาม เปิดทำการ 8.30-18.00 น. ขอให้ขยายเป็น 24 ชั่วโมง 3.ด่านตงซิงของจีนกับด่านหม่องก๋ายของเวียดนามซึ่งขณะนี้ปิดทำการขอให้ทางเวียดนามช่วยเจรจาอีกครั้งให้เปิดด่านต่อไป
และขอให้เวียดนามและจีนช่วยเพิ่มช่องทางกรีนเลน (Green Lane)อำนวยความสะดวกส่งสินค้าไทย ที่ผ่านกระบวนการปลอดโควิดตามมาตรฐานเข้าจีนให้เร็วขึ้น และขอให้ช่วยเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกมากขึ้น ท่านรัฐมนตรีเวียดนามแจ้งว่าเวียดนามยินดีที่จะส่งเสริมกรีนเลนให้กับฝ่ายไทย แต่การเจรจากับจีนต้องหารือกันต่อไปเพราะเป็นนโยบายซีโร่โควิดของจีน ตนทำหนังสือถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับด่านของจีนแล้ว ขอโอกาสในการหารือเพราะผลไม้ไทยกำลังเริ่มออกในเดือนพฤษภาคมนี้
และขอให้ทางการเวียดนามยกเลิกการระงับการนำเข้าสินค้า 3 ตัวจากไทย คือ 1.เนื้อไก่ 2.เงาะ และ3.มะม่วง ซึ่งท่านรัฐมนตรีเวียดนามรับไปพิจารณาต่อไปรวมไปถึงขอให้เวียดนามสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาดของนักลงทุนไทยในเวียดนาม เร่งเปิดการประชุมร่วมในการส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อเพิ่มการลงทุนระหว่างกันโดยเร็วที่สุด เบื้องต้นควรดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2 หรือ 3 เป็นอย่างช้าในปีนี้ เป็นต้น
ส่วนที่ประเด็นที่เวียดนามได้นำมาหารือ เช่นการขาดดุลการค้าที่เวียดนามขาดดุลการค้ากับไทยมาก ซึ่งไทยพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนงานต่างๆที่เวียดนามจะมาจัดในไทย
นอกจากนี้เวียดนามขอให้ไทยเร่งออกใบอนุญาตนำเข้าผลไม้ 5 ชนิด คือ ส้มโอน้อยหน่า เสาวรส ลูกน้ำนมและเงาะซึ่งฝั่งไทยได้เสนอให้เวียดนามใช้ช่องทาง MoU ที่ทำกับกระทรวงเกษตรฯของไทยเป็นเวทีหารือต่อไป เป็นต้น
“ทั้ง2 ฝ่ายมีความเป็นห่วงเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการค้าของทั้ง 2 ประเทศ และมีผลกระทบต่อเกือบทุกประเทศในโลก ไทยกับเวียดนามจำเป็นที่จะต้องจับมือกันให้แน่นแฟ้น รวมทั้งประเทศสมาชิกอาเซียน เพราะจะมีส่วนช่วยทำให้เราร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ปัญหาต่างๆทางการค้าการลงทุนร่วมกันได้อย่างมีน้ำหนักยิ่งขึ้น และตนชวนท่านเข้าร่วมการประชุมเอเปกในปลายปีที่จะถึงนี้ด้วย”