วันนี้ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายมุน ซึง-ฮย็อน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ พร้อมหารือถึงความร่วมมือ โดยเฉพาะด้าน Soft Power อาหาร และการกีฬา ระหว่างกัน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือว่า รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศได้หารือถึงความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของการส่งเสริม Soft Power ของเกาหลีใต้ ซึ่งประเทศไทยก็มีชื่อเสียงเช่นกัน
นายกรัฐมนตรีจึงเห็นว่า ทั้งสองประเทศควรพัฒนาความร่วมมือในสาขานี้ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความแข่งแกร่ง พร้อมทั้งยินดีที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายมีความชื่นชอบวัฒนธรรมของกันและกัน จะเป็นสะพานเชื่อมและขยายความร่วมมือไปยังสาขาอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองประเทศสามารถจับคู่วัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของกันและกัน รวมถึงการกีฬาที่ทั้งสองมีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
ส่วนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น แม้จะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองประเทศยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมาก
โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และเศรษฐกิจสีเขียว สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านโมเดล BCG และอุตสาหกรรมเพื่อการเจริญเติบโตสีเขียวในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนชาวเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นในสาขาที่เกาหลีใต้มีความเชี่ยวชาญ โดยไทยจะดูแลและอำนวยความสะดวกการลงทุน ด้านเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ฯ ยินดีสนับสนุน พร้อมประสงค์ให้ไทยพิจารณาส่งเสริมอุตสาหกรรมเฉพาะด้านที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างชัดเจน และขอให้ไทยพิจารณาให้เกาหลีใต้ตั้งสถาบันการเงินในประเทศด้วย
ขณะที่ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยกับเกาหลีใต้มีความร่วมมือทางการทหารที่ใกล้ชิด ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการขยายความร่วมมือไปสู่ด้านอื่น ๆ โดยนายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายรักษาพลวัตของความร่วมมือ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลเกี่ยวกับการต่อต้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ เนื่องจากมีการประชุมกรอบการหารือทวิภาคีว่าด้วยความมั่นคงทางไซเบอร์กันต่อไป
นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียินดีกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ที่มีความใกล้ชิดต่อเนื่องกว่า 60 ปี แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสองยังคงมีการหารือและแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน รวมถึงมีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีหวังว่าทั้งสองประเทศจะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมจากผลกระทบของการแพร่ระบาดควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติหน้าที่เชิงรุกของเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ฯ จะช่วยสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้กว่า 10 ปี ให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับการปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ในทุกด้าน